โตโยต้า พริอุส ′ผู้ที่ไปถึงก่อนใคร′

จากความมุ่งมั่นเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและ การอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งยึดถือเป็นปรัชญาของโตโยต้าในการสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่ ล้ำสมัย ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบและความห่วงใยต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมโลก โดยการมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อผลิตรถยนต์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งไม่ได้พัฒนาเพียงแค่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ แต่รวมถึงกระบวนการผลิตโดยการนำวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ มาเป็นวัตถุดิบเพื่อลดปริมาณของเสียและประหยัดพลังงาน ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีของโลกและมนุษยชาติ รถยนต์ โตโยต้าไฮบริดรุ่นแรก คือ โตโยต้า พริอุส เจเนอเรชั่น 1 ได้กำเนิดขึ้นครั้งแรกในโลกเมื่อปี พ.ศ. 2540 โดยคำว่า ′พริอุส′ นั้นเป็นคำมาจากภาษาละตินแปลว่า ′ผู้ที่ไปถึงก่อนใคร′
ในปี พ.ศ. 2552 ′โตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด′ รถยนต์ไฮบริด รุ่นแรกได้ผลิตขึ้นในประเทศไทย และเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชีย โดยเป็นรถยนต์นั่งไฮบริดขนาดกลาง ยนตรกรรมอัจฉริยะที่เพียบพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล้ำสมัย สมรรถนะดีเยี่ยม ตอบสนองการขับขี่ได้เร้าใจ และที่สำคัญเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด ทั้งเป็นรถยนต์ที่ให้ความเงียบและให้ความรู้สึกสบายรื่นรมย์ตลอดการขับขี่

และในปีนี้โตโยต้าได้ผลิตรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทยอีก 1 รุ่น คือ โตโยต้า พริอุส เจเนอเรชั่น 3 ซึ่งนับเป็นประเทศที่ 3 ของโลกสำหรับการผลิตโตโยต้า พริอุส ยานยนต์ไฮบริดที่สมบูรณ์แบบด้วยรูปลักษณ์ภายนอกและภายในที่ล้ำสมัย อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า สร้างความสนุกสนานตลอดการขับขี่ในทุกเส้นทาง มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการลดมลพิษจากการปล่อยไอเสีย และการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ไร้ซึ่งมลพิษทางเสียง
พริอุสมี 2 รุ่นให้ครอบครอง Top Grade และ Standard Grade มี 5 สีให้เลือก White Pearl (เฉพาะรุ่น Top Grade), Light Blue Mica Metallic, Silver Metallic, Black Mica และ Blackish Red Mica

โตโยต้า พริอุส ภายนอกโดดเด่นเกินใครในทุกมุมมอง รูปทรงแอโรไดนามิก จากสุดยอดของการออกแบบที่ล้ำสมัยตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้โตโยต้า พริอุสมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือค่า Cd (coefficient of drag) เพียง 0.25 ซึ่งมีส่วนช่วยให้มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยว ให้ลำแสงที่สว่าง ชัดเจน ใช้งานได้ยาวนานและประหยัดพลังงาน ระบบทำความสะอาดไฟหน้าชัดเจนทุกการเดินทางด้วยหัวฉีดน้ำทำความสะอาดไฟหน้า แบบพับซ่อนเก็บได้

ไฟท้าย LED สไตล์สปอร์ต สว่าง ชัดเจน เพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว น้ำหนักเบา ลดแรงเสียดทาน พร้อมการออกแบบที่คำนึงถึงการหมุนวนของอากาศบริเวณซุ้มล้อ ซึ่งมีส่วนช่วยให้มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง

ภายในล้ำหน้าเหนือชั้นในทุกสัมผัสเทคโนโลยี head-up display ปลอดภัยและล้ำสมัยด้วยการแสดงผลมาตรวัดความเร็วรถ และระดับการขับขี่แบบ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบนกระจกบังลมด้านหน้าในระดับ ที่ผู้ขับสามารถมองเห็นได้โดยไม่ บดบังทัศนวิสัยและไม่ต้องละสายตาจากถนน จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบออปติคอล (advanced multi-information display หรือ MID) แสดงค่าทุกการทำงานขณะขับขี่ โดยแบ่งการแสดงผลออกเป็น 3 โหมด
1.โหมดการทำงานของระบบไฮบริด (energy monitor)

2.โหมดแสดงผลการขับขี่แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (hybrid system indicator)

3.โหมดแสดงผลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง (consumption record) ปุ่มควบคุมที่พวงมาลัยระบบสัมผัสที่สามารถแสดงภาพกราฟิกปุ่มควบคุมบริเวณพวง มาลัยบนจอ MID ได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับสามารถมองเห็นและควบคุมระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ ไร้สายแบบบลูทูทได้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้นในขณะขับขี่ ระบบเครื่องเสียง 6 CD พร้อมลำโพง 8 จุดที่ให้ความเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง รองรับไฟล์ MP3/WMA พร้อมช่องต่อ AUX

ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่ ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (smart entry) และระบบสตาร์ตอัจฉริยะ (push start) ให้ความสะดวกสบายโดยไม่ต้องใช้กุญแจในการเปิดประตูและ การสตาร์ตรถ

เบาะนั่งแบบพิเศษที่ปฏิวัติแนวคิดการออกแบบเพื่อความสบายสำหรับผู้โดยสาร ด้านหลังโดยการเพิ่มพื้นที่ระหว่างเบาะหน้าและเบาะหลัง พื้นที่เก็บของด้านหลัง กว้างขวางเพียงพอสำหรับถุงกอล์ฟ 3 ใบ

ระบบส่งกำลัง นำหน้าทุกเส้นทางอย่างท้าทาย ก้าวไปพร้อมพลังขับเคลื่อนแห่งอนาคต เครื่องยนต์ที่ผสานความล้ำหน้าแห่งเทคโนโลยี Atkinson Cycle และระบบควบคุมการหมุนเวียนไอเสีย EGR (Exhaust Gas Recirculation) ที่มีการติดตั้งระบบระบายความร้อนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมมลพิษจาก ไอเสีย พร้อมระบบวาล์วอัจฉริยะ VVT-i เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่ประหยัดคุ้มค่า

พริอุสใช้เครื่องยนต์ 2ZR-FXE/4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-i ความจุกระบอกสูบ 1,797 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที มอเตอร์ไฟฟ้า (electric motor) ที่พัฒนาระบบเกียร์ทดกำลังให้มีขนาดเล็กลงและน้ำหนักเบายิ่งขึ้น แต่สามารถรองรับการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงขึ้นชนิดมอเตอร์ซิงโค รนัสแม่เหล็กถาวร

แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 650 โวลต์ กำลังสูงสุด 60 กิโลวัตต์ (82 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร

เกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ (electronic gear shift) เทคโนโลยีแห่งการขับเคลื่อนที่รองรับทุกการสั่งงาน พร้อมระบบคันเกียร์ที่กลับคืนสู่ตำแหน่งกลางโดยอัตโนมัติทุกครั้งหลังการ เข้าเกียร์ เพิ่มความสะดวกในการเปลี่ยนเกียร์

เกียร์ทดกำลัง (reduction gear) เพื่อเพิ่มแรงบิดให้มอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมให้ความนุ่มนวลในจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ อุปกรณ์แยกกำลัง (power split device) ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า อย่างลงตัว เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (generator) ตอบสนองการเร่งโดยการเสริมพลังไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน

หน่วยควบคุมไฟฟ้า (power control unit) ทำหน้าที่ควบคุมไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรี่และไฟฟ้ากระแสสลับจากมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม พร้อมช่วยขยายกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ได้สูงถึง 650 โวลต์

แบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (nickel-metal hydride) ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าทำให้แบตเตอรี่ไฮบริดมีน้ำหนักเบาขึ้น ทนทานยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างดีเยี่ยม

รูปแบบการขับขี่ล้ำหน้าแห่งการขับขี่ที่ให้คุณสามารถเลือกได้ถึง 3 รูปแบบ

โหมดการขับขี่ทรงพลัง (PWR mode) ระบบจะผสานกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ เพื่อตอบสนองการขับขี่อย่างทันใจ โหมดการขับขี่ประหยัดน้ำมัน (ECO mode) ระบบจะเลือกใช้กำลังในการขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้เหมาะ สม โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า โหมดการขับขี่เงียบสนิท (EV mode) ระบบจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ให้การขับขี่ที่เงียบสนิท เหมาะสำหรับการเดินทางในบริเวณที่ใช้ความเร็วต่ำ

ความปลอดภัย ทุกการเดินทางคือความอุ่นใจด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ความปลอดภัยแบบป้องกัน (active safety)

สัญญาณไฟเบรกกะพริบเมื่อเบรกกะทันหัน (emergency stop lamps) เพิ่มความปลอดภัยเมื่อเกิดการเบรกกะทันหันด้วยสัญญาณไฟเบรกอัตโนมัติแจ้ง เตือนรถที่อยู่ด้านหลังทันที

ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC-vehicle stability control) ที่ทำงานร่วมกับ EPS (electronic power steering) รักษาการทรงตัวของรถในทุกสภาพการขับขี่โดยการสั่งให้เครื่องยนต์ลดความเร็ว อัตโนมัติ และควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกทั้ง 4 ล้อ อย่างอิสระเพื่อรักษาการทรงตัวของรถให้สมดุลที่สุด

ระบบกระจายแรงเบรก EBD (electronic brake-force distribution) ในทุก ๆ การเบรกระบบจะปรับแรงดันน้ำมันเบรกทั้ง 4 ล้อให้เหมาะสมกับน้ำหนักที่กดลงในแต่ละล้อเพื่อประสิทธิภาพการเบรกที่ดีขึ้น

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC-traction control system) คอยควบคุมและป้องกันการลื่นไถลของล้อเมื่อมีการเหยียบ คันเร่งมากเกินไปขณะออกตัว หรือการเร่งความเร็วแบบกะทันหันบนถนนลื่น

ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS-anti-lock braking system) สำหรับการเบรกแบบกะทันหันบนถนนที่เปียก ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับควบคุมทิศทางของรถได้ดีขึ้น

ความปลอดภัย แบบปกป้อง (passive safety)

ถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 จุดรอบคัน เสริมความปลอดภัยโดยติดตั้งไว้รอบคัน (ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง/ด้านข้าง 2 ตำแหน่ง/ม่าน 2 ตำแหน่ง และเข่าคนขับ 1 ตำแหน่ง) ด้วย

หมอนพิงศีรษะคู่หน้าแบบช่วยลดแรงกระแทก (active headrest) เมื่อเกิดการชนจากด้านหลัง หมอนพิงศีรษะจะปรับองศาอัตโนมัติเพื่อรองรับสรีระบริเวณคอทันที ช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บที่กระดูกคอ

โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA ช่วยดูดซับแรงกระแทก เทคโนโลยีเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริเวณห้องโดยสารจากการชนทั้งด้านหน้าและ ด้านข้าง เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับและกระจายแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างมี ประสิทธิภาพ

สำหรับราคาค่าตัว รุ่น Top Grade สี White Pearl 1.27 ล้านบาท รุ่น Top Grade 1.26 และรุ่น Standard Grade 1.19 ล้านบาท
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

รายการบล็อกของฉัน