โตโยต้าเขย่าเก๋งคอมแพ็กต์ เปิดทีเด็ดพรีอุส-อัลติสใหม่

โตโยต้าเขย่าเก๋งคอมแพ็กต์ เปิดทีเด็ดพรีอุส-อัลติสใหม่ ยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” เปิดเกมรุกเขย่าตลาดเก๋งคอมแพ็กต์ไทย ไตรมาสสามปีนี้แต่งองค์ทรงเครื่องชุดใหญ่ ให้กับ “โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส” ใหม่ หรือเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ หวังน็อคคู่แข่ง “ฮอนด้า ซีวิค” ที่อยู่ในช่วงปลายโมเดลให้ได้ ซึ่งไม่เพียงปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ชัดเจนแล้ว ยังเอาใจคนชอบจี๊ด เปลี่ยนเครื่องยนต์รุ่น 1.6 และ 1.8 ลิตร เป็นแบบ DUAL VVT-i เช่นเดียวกับรุ่น 2.0 ลิตร ช่วยให้อัตราเร่งดีขึ้น ประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แถมยังจะติดตั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ CVT เข้าไปอีก

แต่เท่านี้ยังไม่พอแว่วว่าโตโยต้าจะทิ้งทวนปีเสือไฟ สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับวงการรถยนต์ไทย ด้วยการขึ้นไลน์ผลิต “โตโยต้า พรีอุส” รถยนต์ไฮบริดเต็มรูปแบบ เพื่อแนะนำสู่ตลาดไทยช่วงปลายปีนี้ พร้อมเทเดิมพันหมดหน้าตักหวังแจ้งเกิดให้สำเร็จ งานนี้จึงวางราคาเกินล้านบาท ไปเพียงเลขแสนนิดๆ เท่านั้น
แม้จะสามารถทำยอดขายได้เติบโตตามสภาวะตลาด แต่ยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” คงไม่พอใจมากนัก โดยเฉพาะตลาดรถยนต์นั่ง หรือเก๋งคอมแพ็กต์ เพราะหากเทียบความใหม่สดของ “โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส” กับคู่แข่ง “ฮอนด้า ซีวิค” ที่เข้าสู่ปลายโมเดลแล้ว ตัวเลขยอดขายกลับไม่ได้ทิ้งกันแต่อย่างใด นี่ว่ากันแบบตัวเลขรวมเวอร์ชั่นแท็กซี่รุ่น “ลิโม่” แล้ว ซึ่งหากวัดกันที่ยอดขายลูกค้าทั่วไปจริงๆ คงพูดคำว่าแชมป์ตลาดเก๋งคอมแพ็กต์ลำบาก เหตุนี้โตโยต้าจึงจำเป็นต้องขยับทำอะไรสักอย่าง เพื่อเร่งทำตัวเลขยอดขายและไม่ยอมให้คู่แข่งกินนิ่มอีกต่อไป

ทั้งนี้โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส รุ่นทำตลาดในไทยปัจจุบัน เปิดตัวมาตั้งแต่ต้นปี 2551 หลังจากที่ตลาดโลกได้แนะนำสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อปี 2550 นับช่วงเวลาถือเป็นจังหวะและโอกาสที่ลงตัวพอดี ในการจะปรับโฉมหรือไมเนอร์เชนจ์ให้กับเก๋งคอมแพ็กต์รุ่นอัลติสนี้ ซึ่งเห็นความเคลื่อนไหวในตลาดยุโรปไปแล้ว จากการเปิดตัว โตโยต้า โคโรลล่า (อัลติส) ใหม่ สู่ตลาดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และถือเป็นเวอร์ชั่นเดียวกับในไทย (รวมถึงสหรัฐเมริกา ส่วนอีกเวอร์ชั่นทำตลาดในญี่ปุ่น)

ดังนั้นงานนี้โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จึงไม่ปล่อยโอกาสให้เนิ่นนาน เหมือนกับการทำตลาดครั้งแรก โดยตามรายงานข่าวในไทยจะเปิดตัว โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส ใหม่ สู่ตลาดในช่วงไตรมาสสาม หรือประมาณเดือนสิงหาคมปีนี้ โดยการปรับโฉมไม่ได้แตกต่างจากเวอร์ชั่นในยุโรป นอกจากรายละเอียดเล็กน้อยๆ ตามความเหมาะสมของตลาดเท่านั้น ส่วนใหญ่แทบจะเหมือนกันหมด

สำหรับโตโยต้า โคโรลล่า ใหม่ ที่ได้มีการไมเนอร์เชนจ์ในยุโรป มีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากรุ่นเดิมชัดเจนทีเดียว โดยเฉพาะรายละเอียดของกระจังหน้าและกันชนหน้า ซึ่งเดินตามรอยแนวทางการออกแบบที่คล้ายกับการปรับโฉมของ “โตโยต้า คัมรี่” ส่วนกันชนหน้าออกแบบลวดลายให้ดูสวยและสปอร์ตขึ้นกว่าเดิม

เช่นเดียวกับไฟหน้ามีการออกแบบใหม่ ซึ่งแม้ว่ารูปทรงของชุดโคมโดยรวมจะดูคล้ายกับของเดิม แต่ลายเส้นของขอบด้านล่างที่ติดกับกันชนหน้า มีการเล่นโค้งและมุมหักที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับการเปลี่ยนล้อแม็กเป็นแบบลาย 5 ก้านทรงสปอร์ต
ขณะที่ด้านท้ายของโคโรลล่าใหม่ มีการปรับปรุงขนานใหญ่เช่นกัน เริ่มจากไฟท้ายที่ยังแบ่งเป็นแบบ 2 ส่วนเหมือนเดิม ส่วนที่อยู่ในฝากระโปรงหลังยังเป็นทรงเดิม แต่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดภายในชุดไฟใหม่ ส่วนไฟท้ายอีกส่วนที่อยู่บนตัวถังมีการออกแบบใหม่หมด เช่นเดียวกับกันชนท้าย

ในส่วนของภายในรายละเอียดหลักๆ ยังเหมือนเดิม มีเพียงแค่พวงมาลัยเปลี่ยนใหม่ให้ดูสปอร์ต และกระชับมือขึ้น เช่นเดียวกับของใหม่อย่างกระจกมองหลังแบบ Gentex ซึ่งนอกจากจะมีช่วยลดการสะท้อนของแสงไฟจากรถยนต์ที่ตามมาด้านหลังแล้ว เมื่อเขาเกียร์ถอยหลังกระจกมองหลังจะกลายเป็นมอนิเตอร์ขนาด 3.3 นิ้ว สำหรับแสดงภาพที่ถูกส่งมาจากทางกล้องด้านท้ายรถ เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกในการถอยจอด อีกทั้งยังให้ความสะดวกสบายด้วยฝากระโปรงหลังที่สามารถสั่งเปิดได้จากรีโมทของตัวรถ

สำหรับเครื่องยนต์ในยุโรป นอกจากมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งเบนซินและดีเซลแล้ว โฉมใหม่ยังแนะนำเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร DUAL VVT-i บล็อกใหม่ กำลัง 99 แรงม้า มาเป็นอีกทางเลือกด้วย ซึ่งในส่วนของเมืองไทยยังเหมือนเดิม กับเครื่องยนต์เบนซิน 1.6, 1.8 และ2.0 ลิตร แต่อย่าเพิ่งน้อยใจเพราะโตโยต้าได้ทำการปรับรุ่น 1.6 และ 1.8 ลิตร เป็นเครื่องยนต์แบบ DUAL VVT-i เช่นเดียวกับรุ่น 2.0 ลิตร ซึ่งจะมีการทำงานทั้งวาล์วไอดีและไอเสีย ทำให้มีพละกำลังตอบสนองอัตราเร่งได้เป็นอย่างดี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังมีกระแสว่าจะเปลี่ยนเกียร์ธรรมดาเป็นแบบ 6 จังหวะ และอัตโนมัติเป็น CVT ด้วย

การไมเนอร์เชนจ์ของ โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส ใหม่ จึงนับเป็นการเดิมพันที่สำคัญ แต่ใช่ว่าโตโยต้าจะหยุดรุกตลาดคอมแพ็กต์อยู่เพียงแค่นี้ เพราะตามข่าวแว่วว่าจะมีทีเด็ดที่ช็อก! ตลาดเก๋งอีกระลอก กับการเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดโมเดลที่ 2 ในไทย หลังจากเปิดตัว “โตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด” จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แม้ปัจจุบันจะมีตัวเลขที่ชะลอไปบ้าง จากมรสุมการเรียกรถคืนในต่างประเทศ รวมถึงความไม่เชื่อมั่นต่อแบตเตอรี่ของรถไฮบริด
เรื่องนี้โตโยต้าได้พยายามชี้แจงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้พิสูจน์ด้วยการนำรถโตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด วิ่งลุยน้ำลึกพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ส่งผลกระทบต่อแบตเตอรี่ และระบบการทำงานของรถแต่อย่างใด ที่สำคัญยังคงยืนยันที่จะรับประกันแบตเตอรี่เป็นระยะเวลา 10 ปี ให้กับลูกค้าที่ซื้อรถไฮบริดของโตโยต้าอย่างแน่นอน

ทั้งหมดนี่ก็เพื่อยืนยันคุณภาพของระบบรถไฮบริด ซึ่งไม่เพียงจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เพื่อกลับมากระตุ้นยอดขายโตโยต้า คัมรี่ ไฮบริดแล้ว ยังเป็นการวางแผนรองรับการเปิดตัวรถไฮบริดโมเดลใหม่ ที่จะแนะนำสู่ตลาดเมืองไทยอย่างเต็มรูปแบบในปี 2554 นี้ และเรื่องนี้โตโยต้าได้พยายามสื่อให้ทราบบ้างแล้ว

“โตโยต้าในไทยมีนโยบายมุ่งมั่นพัฒนารถยนต์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นรถพลังงานทางเลือก และรถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากการเปิดตัวรถรุ่นคัมรี่ ทำให้โตโยต้าศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนารถยนต์ไฮบริดรุ่นอื่นๆ แนะนำสู่ตลาดไทย”

นั่นเป็นคำกล่าวของ “เคียวอิจิ ทานาดะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการแถลงข่าวถึงทิศทางและนโยบายของโตโยต้าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และยังบอกว่า… “ลูกค้าคนไทยไม่เพียงต้องการรถที่ประหยัด แต่ต้องการรถที่ขับสนุก มีอัตราเร่งที่ดี นี่จึงเป็นเหตุผลให้โตโยต้าตัดสินใจเลือกรถไฮบริดทำตลาดก่อนอีโคคาร์ ที่เป็นรถเหมาะกับใช้งานในเมืองเท่านั้น”

และดูเหมือนว่ารถยนต์ไฮบริดดังกล่าว ได้เวลาจะถูกส่งมาเขย่าตลาดรถยนต์เมืองไทยแล้ว เมื่อมีรายงานข่าวว่าโตโยต้ากำหนดแผนแนะนำ “โตโยต้า พรีอุส” สู่ตลาดไทยช่วงปลายปี และจะเป็นรถตัวธงในการทำตลาดปี 2554 ที่สำคัญพรีอุสจะเป็นอีกโมเดลที่ขึ้นไลน์ผลิตในโรงงานประกอบรถยนต์นั่งของโตโยต้า ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตุเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา

โตโยต้า พรีอุส รุ่นแรกถูกเปิดตัวสู่ตลาดโลกในปี 2539 ถือเป็นรถยนต์ไฮบริดแบบ Mass production รุ่นแรกของโลก และนับว่าประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายเป็นอย่างมาก ปัจจุบันนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งเผยโฉมครั้งแรกเมื่อต้นปี 2552 และมีกำหนดทำตลาดเต็มรูปแบบทั่วโลกในปี 2553 ซึ่งหากเป็นไปตามกระแสข่าวไทยก็จะแนะนำในปีนี้ และทำตลาดเต็มที่ในปี 2554

พรีอุสเป็นรถยนต์แบบไฮบิดเต็มรูปแบบ ที่เรียกกันว่า Fully Hybrid โดยในบางจังหวะสามารถขับเคลื่อนโดยอาศัยพลังจากเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว หรือว่าจะให้ทั้ง 2 อย่างทำงานร่วมกันก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวลผลและการตัดสินใจของกล่องสมองกลที่ควบคุมการทำงาน แต่สำหรับรุ่นใหม่นี้มีความเหนือชั้นกว่า เพราะโตโยต้าได้ติดตั้งปุ่ม EV Drive Mode มาให้ สำหรับให้ลูกค้าเลือกขับเคลื่อน โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังมีโหมดอื่นให้เลือกใช้งาน เช่น Power Mode สำหรับรีดกำลังจากเครื่องยนต์ ด้วยการเพิ่มความไวในการทำงานของลิ้นปีกผีเสื้อ ที่ตอบสนองได้ทันกับการกดคันเร่ง หรือ Eco Mode สำหรับเน้นความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ระบบไฮบริดของพรีอุสเป็นแบบ Hybrid Synergy Drive หรือ HSD ซึ่งตอบสนองความเร้าใจด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน แบบ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT-i ที่มีความจุ 1.8 ลิตร 98 แรงม้า จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบแม่เหล็กถาวร มีกำลังสูงสุด 80 แรงม้า แต่เมื่อรวมการทำงานของทั้ง 2 ส่วนเข้าด้วยกัน ขุมพลังไฮบริดรุ่นนี้สามารถตอบสนองกำลังสูงสุดได้ 134 แรงม้า ใช้เวลา 9.8 วินาที ในการทำอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม.
พรีอุสส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT สู่การขับเคลื่อนแบบล้อหน้า และมีระดับการปลดปล่อยไอเสียออกสู่อากาศตามมาตรฐาน SULEV หรือ Super Ultra Low Emission Vehicle โดยมีค่าความประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 20.3 กม./ลิตร สำหรับการขับแบบผสมจากการทดสอบของ EPA ซึ่งตัวเลขดีกว่า 2 เจนเนอเรชันที่ผ่านมา

นี่จึงนับเป็นทางเลือกที่ตอบสนองผู้บริโภคชาวไทย ให้ก้าวทันไปกับโลกยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง แต่นอกจากเรื่องเทคโนโลยีแล้ว ราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภค ซึ่งตามรายงานข่าวเพื่อแจ้งเกิดในตลาดไทยให้ได้ โตโยต้าจึงวางราคาของ “โตโยต้า พรีอุส” ไว้ใกล้เคียงกับ “ฮอนด้า ซีวิค” ตัวท็อป หรือประมาณล้านต้น ๆเท่านั้น
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

รายการบล็อกของฉัน