Toyota Prius C&A Custom Concept ไฮบริดแต่งสไตล์ Lamborghini Reventon

Toyota Prius C&A Custom Concept ไฮบริดแต่งสไตล์ Lamborghini Reventon
ด้วยกระแสของ Toyota Prius ในไทยกำลังมาแรง เลยขอนำภาพ Prius C&A Custom Concept ที่เป็นรถแต่งในสไตล์ Lamborghini Reventon ซึ่งได้อวดโฉมในงาน SEMA Show ที่เพิ่งผ่านไปไม่นานมาให้ชม เผื่อเจ้าของในอนาคตอาจจะมีไอเดียใหม่ๆในการแต่งเพราะโดยรูปทรงของรถรุ่นนี้อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะแต่งให้ดูสปอร์ต แต่ถ้าคุณได้เห็นภาพนี้แล้ว บอกได้เลยว่ารถรุ่นนี้ดูดีแบบดุๆได้สบายๆ
Prius C&A Custom Concept คันนี้เป็นฝีมือของทีมแต่งรถจาก Toyota เอง ที่ใช้ชุดแต่งที่เรียกว่า PLUS Performance Package จาก TRD โดยมีการโหลดเตี้ยล้อหน้าลงไปถึง 4 นิ้วในขณะที่ล้อหลังโหลดเตี้ยถึง 6 นิ้ว เป็นส่วนหนึ่งของระบบกันสะเทือนแนวสปอร์ตจาก TEIN มีการแต่งบอดี้ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนล้อเป็นอลูมิเนียมหลอมขนาด 18 นิ้ว หุ้มด้วยยาง Goodyear Eagle Revspec
ภายในมีการตกแต่งห้องโดยสารด้วยอัลคันทาร่าหนังกลับ ซึ่งมีการใช้อัลคันทาร่าในหลายๆจุดตั้งแต่เฮดไลเนอร์ เสา A และ B แผงข้างประตู เบาะที่นั่งด้านหน้าที่เป็นของ Recaro และเบาะด้านหลัง กล่องคอนโซล พวงมาลัย แม้แต่หัวเกียร์อลูมิเนียมก็มีการแต่งด้วยอัลคันทาร่าเช่นกัน มีการทำสัญลักษณ์ C&A ที่เบาะที่นั่ง ระบบนำทางเป็นของ Denso ผลงานที่ออกมาจึงเป็นอย่างที่เห็น “สวยหยด ตั้งแต่หัวจรดเท้า” อีกรุ่นหนึ่ง!
ที่มา: Toyota,autospinn

โตโยต้า พริอุส ′ผู้ที่ไปถึงก่อนใคร′

จากความมุ่งมั่นเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและ การอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งยึดถือเป็นปรัชญาของโตโยต้าในการสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่ ล้ำสมัย ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบและความห่วงใยต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมโลก โดยการมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อผลิตรถยนต์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งไม่ได้พัฒนาเพียงแค่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ แต่รวมถึงกระบวนการผลิตโดยการนำวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ มาเป็นวัตถุดิบเพื่อลดปริมาณของเสียและประหยัดพลังงาน ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีของโลกและมนุษยชาติ รถยนต์ โตโยต้าไฮบริดรุ่นแรก คือ โตโยต้า พริอุส เจเนอเรชั่น 1 ได้กำเนิดขึ้นครั้งแรกในโลกเมื่อปี พ.ศ. 2540 โดยคำว่า ′พริอุส′ นั้นเป็นคำมาจากภาษาละตินแปลว่า ′ผู้ที่ไปถึงก่อนใคร′
ในปี พ.ศ. 2552 ′โตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด′ รถยนต์ไฮบริด รุ่นแรกได้ผลิตขึ้นในประเทศไทย และเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชีย โดยเป็นรถยนต์นั่งไฮบริดขนาดกลาง ยนตรกรรมอัจฉริยะที่เพียบพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล้ำสมัย สมรรถนะดีเยี่ยม ตอบสนองการขับขี่ได้เร้าใจ และที่สำคัญเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด ทั้งเป็นรถยนต์ที่ให้ความเงียบและให้ความรู้สึกสบายรื่นรมย์ตลอดการขับขี่

และในปีนี้โตโยต้าได้ผลิตรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทยอีก 1 รุ่น คือ โตโยต้า พริอุส เจเนอเรชั่น 3 ซึ่งนับเป็นประเทศที่ 3 ของโลกสำหรับการผลิตโตโยต้า พริอุส ยานยนต์ไฮบริดที่สมบูรณ์แบบด้วยรูปลักษณ์ภายนอกและภายในที่ล้ำสมัย อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า สร้างความสนุกสนานตลอดการขับขี่ในทุกเส้นทาง มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการลดมลพิษจากการปล่อยไอเสีย และการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ไร้ซึ่งมลพิษทางเสียง
พริอุสมี 2 รุ่นให้ครอบครอง Top Grade และ Standard Grade มี 5 สีให้เลือก White Pearl (เฉพาะรุ่น Top Grade), Light Blue Mica Metallic, Silver Metallic, Black Mica และ Blackish Red Mica

โตโยต้า พริอุส ภายนอกโดดเด่นเกินใครในทุกมุมมอง รูปทรงแอโรไดนามิก จากสุดยอดของการออกแบบที่ล้ำสมัยตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้โตโยต้า พริอุสมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือค่า Cd (coefficient of drag) เพียง 0.25 ซึ่งมีส่วนช่วยให้มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยว ให้ลำแสงที่สว่าง ชัดเจน ใช้งานได้ยาวนานและประหยัดพลังงาน ระบบทำความสะอาดไฟหน้าชัดเจนทุกการเดินทางด้วยหัวฉีดน้ำทำความสะอาดไฟหน้า แบบพับซ่อนเก็บได้

ไฟท้าย LED สไตล์สปอร์ต สว่าง ชัดเจน เพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว น้ำหนักเบา ลดแรงเสียดทาน พร้อมการออกแบบที่คำนึงถึงการหมุนวนของอากาศบริเวณซุ้มล้อ ซึ่งมีส่วนช่วยให้มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง

ภายในล้ำหน้าเหนือชั้นในทุกสัมผัสเทคโนโลยี head-up display ปลอดภัยและล้ำสมัยด้วยการแสดงผลมาตรวัดความเร็วรถ และระดับการขับขี่แบบ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบนกระจกบังลมด้านหน้าในระดับ ที่ผู้ขับสามารถมองเห็นได้โดยไม่ บดบังทัศนวิสัยและไม่ต้องละสายตาจากถนน จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบออปติคอล (advanced multi-information display หรือ MID) แสดงค่าทุกการทำงานขณะขับขี่ โดยแบ่งการแสดงผลออกเป็น 3 โหมด
1.โหมดการทำงานของระบบไฮบริด (energy monitor)

2.โหมดแสดงผลการขับขี่แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (hybrid system indicator)

3.โหมดแสดงผลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง (consumption record) ปุ่มควบคุมที่พวงมาลัยระบบสัมผัสที่สามารถแสดงภาพกราฟิกปุ่มควบคุมบริเวณพวง มาลัยบนจอ MID ได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับสามารถมองเห็นและควบคุมระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ ไร้สายแบบบลูทูทได้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้นในขณะขับขี่ ระบบเครื่องเสียง 6 CD พร้อมลำโพง 8 จุดที่ให้ความเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง รองรับไฟล์ MP3/WMA พร้อมช่องต่อ AUX

ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่ ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (smart entry) และระบบสตาร์ตอัจฉริยะ (push start) ให้ความสะดวกสบายโดยไม่ต้องใช้กุญแจในการเปิดประตูและ การสตาร์ตรถ

เบาะนั่งแบบพิเศษที่ปฏิวัติแนวคิดการออกแบบเพื่อความสบายสำหรับผู้โดยสาร ด้านหลังโดยการเพิ่มพื้นที่ระหว่างเบาะหน้าและเบาะหลัง พื้นที่เก็บของด้านหลัง กว้างขวางเพียงพอสำหรับถุงกอล์ฟ 3 ใบ

ระบบส่งกำลัง นำหน้าทุกเส้นทางอย่างท้าทาย ก้าวไปพร้อมพลังขับเคลื่อนแห่งอนาคต เครื่องยนต์ที่ผสานความล้ำหน้าแห่งเทคโนโลยี Atkinson Cycle และระบบควบคุมการหมุนเวียนไอเสีย EGR (Exhaust Gas Recirculation) ที่มีการติดตั้งระบบระบายความร้อนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมมลพิษจาก ไอเสีย พร้อมระบบวาล์วอัจฉริยะ VVT-i เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่ประหยัดคุ้มค่า

พริอุสใช้เครื่องยนต์ 2ZR-FXE/4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-i ความจุกระบอกสูบ 1,797 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที มอเตอร์ไฟฟ้า (electric motor) ที่พัฒนาระบบเกียร์ทดกำลังให้มีขนาดเล็กลงและน้ำหนักเบายิ่งขึ้น แต่สามารถรองรับการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงขึ้นชนิดมอเตอร์ซิงโค รนัสแม่เหล็กถาวร

แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 650 โวลต์ กำลังสูงสุด 60 กิโลวัตต์ (82 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร

เกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ (electronic gear shift) เทคโนโลยีแห่งการขับเคลื่อนที่รองรับทุกการสั่งงาน พร้อมระบบคันเกียร์ที่กลับคืนสู่ตำแหน่งกลางโดยอัตโนมัติทุกครั้งหลังการ เข้าเกียร์ เพิ่มความสะดวกในการเปลี่ยนเกียร์

เกียร์ทดกำลัง (reduction gear) เพื่อเพิ่มแรงบิดให้มอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมให้ความนุ่มนวลในจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ อุปกรณ์แยกกำลัง (power split device) ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า อย่างลงตัว เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (generator) ตอบสนองการเร่งโดยการเสริมพลังไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน

หน่วยควบคุมไฟฟ้า (power control unit) ทำหน้าที่ควบคุมไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรี่และไฟฟ้ากระแสสลับจากมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม พร้อมช่วยขยายกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ได้สูงถึง 650 โวลต์

แบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (nickel-metal hydride) ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าทำให้แบตเตอรี่ไฮบริดมีน้ำหนักเบาขึ้น ทนทานยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างดีเยี่ยม

รูปแบบการขับขี่ล้ำหน้าแห่งการขับขี่ที่ให้คุณสามารถเลือกได้ถึง 3 รูปแบบ

โหมดการขับขี่ทรงพลัง (PWR mode) ระบบจะผสานกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ เพื่อตอบสนองการขับขี่อย่างทันใจ โหมดการขับขี่ประหยัดน้ำมัน (ECO mode) ระบบจะเลือกใช้กำลังในการขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้เหมาะ สม โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า โหมดการขับขี่เงียบสนิท (EV mode) ระบบจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ให้การขับขี่ที่เงียบสนิท เหมาะสำหรับการเดินทางในบริเวณที่ใช้ความเร็วต่ำ

ความปลอดภัย ทุกการเดินทางคือความอุ่นใจด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ความปลอดภัยแบบป้องกัน (active safety)

สัญญาณไฟเบรกกะพริบเมื่อเบรกกะทันหัน (emergency stop lamps) เพิ่มความปลอดภัยเมื่อเกิดการเบรกกะทันหันด้วยสัญญาณไฟเบรกอัตโนมัติแจ้ง เตือนรถที่อยู่ด้านหลังทันที

ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC-vehicle stability control) ที่ทำงานร่วมกับ EPS (electronic power steering) รักษาการทรงตัวของรถในทุกสภาพการขับขี่โดยการสั่งให้เครื่องยนต์ลดความเร็ว อัตโนมัติ และควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกทั้ง 4 ล้อ อย่างอิสระเพื่อรักษาการทรงตัวของรถให้สมดุลที่สุด

ระบบกระจายแรงเบรก EBD (electronic brake-force distribution) ในทุก ๆ การเบรกระบบจะปรับแรงดันน้ำมันเบรกทั้ง 4 ล้อให้เหมาะสมกับน้ำหนักที่กดลงในแต่ละล้อเพื่อประสิทธิภาพการเบรกที่ดีขึ้น

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC-traction control system) คอยควบคุมและป้องกันการลื่นไถลของล้อเมื่อมีการเหยียบ คันเร่งมากเกินไปขณะออกตัว หรือการเร่งความเร็วแบบกะทันหันบนถนนลื่น

ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS-anti-lock braking system) สำหรับการเบรกแบบกะทันหันบนถนนที่เปียก ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับควบคุมทิศทางของรถได้ดีขึ้น

ความปลอดภัย แบบปกป้อง (passive safety)

ถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 จุดรอบคัน เสริมความปลอดภัยโดยติดตั้งไว้รอบคัน (ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง/ด้านข้าง 2 ตำแหน่ง/ม่าน 2 ตำแหน่ง และเข่าคนขับ 1 ตำแหน่ง) ด้วย

หมอนพิงศีรษะคู่หน้าแบบช่วยลดแรงกระแทก (active headrest) เมื่อเกิดการชนจากด้านหลัง หมอนพิงศีรษะจะปรับองศาอัตโนมัติเพื่อรองรับสรีระบริเวณคอทันที ช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บที่กระดูกคอ

โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA ช่วยดูดซับแรงกระแทก เทคโนโลยีเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริเวณห้องโดยสารจากการชนทั้งด้านหน้าและ ด้านข้าง เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับและกระจายแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างมี ประสิทธิภาพ

สำหรับราคาค่าตัว รุ่น Top Grade สี White Pearl 1.27 ล้านบาท รุ่น Top Grade 1.26 และรุ่น Standard Grade 1.19 ล้านบาท
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

Toyota RAV4 EV คอมแพคท์เอสยูวีไฟฟ้า โชว์ตัวที่ LA Auto Show ก่อนเริ่มขายในปี 2012

Toyota RAV4 EV คอมแพคท์เอสยูวีไฟฟ้า โชว์ตัวที่ LA Auto Show ก่อนเริ่มขายในปี 2012 ต่อเนื่องจากเมื่อวันก่อนที่ Toyota ได้ปล่อยภาพทีเซอร์ของ RAV4 EV ออกมาเรียกน้ำย่อยก่อนเปิดตัวในงาน LA Auto Show ที่ล่าสุดวันนี้ก็ได้ปล่อยภาพเต็มทั้งชุดพร้อมคลิปวิดีโอออกมาให้คนรัก Compact SUV ได้ชมทางเลือกใหม่ซึ่งแฟนๆเมืองไทยก็อาจจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสเพราะแม้แต่ RAV4 รุ่นมาตรฐานก็ไม่ได้อยู่ในตลาดแต่อย่างใด ทั้งๆที่รถรุ่นนี้คือคู่ต่อกรโดยตรงของ Honda CR-V แต่การที่รถรุ่นนี้เป้นรถไฟฟ้า Toyota ก็อาจจะคิดใหม่ทำใหม่ได้เช่นกัน
Toyota RAV4 EV เป็นความร่วมมือระหว่าง Toyota และ Tesla บริษัทผู้ผลิตซุปเปอร์คาร์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันที่มีหุ้นส่วนสำคัญคือ Google โดยขณะนี้ Toyota อยู่ในช่วงของการทดสอบรถต้นแบบของ RAV4 จำนวน 35 คัน ที่ในปีหน้าทั้งปีรถไฟฟ้ารุ่นนี้จะถูกทดสอบพร้อมปรับปรุงให้เรียบร้อยก่อนจะถูกผลิตออกมาจำหน่ายในปี 2012 ในเรื่องของการสร้างรถต้นแบบ Toyota รับผิดชอบในส่วนของการอัพเกรดระบบขับเคลื่อน ในขณะที่ทาง Tesla รับผิดชอบในเรื่องชุดแบตเตอรี่และระบบที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง Toyota ก็กำลังทดสอบการใช้แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมเมทัลออกไซด์ที่ให้กำลังประมาณ 30-35 กิโลวัตต์ชั่วโมง
Toyota เผยว่า RAV4 EV จะมีน้ำหนักมากกว่า RAV4 รุ่นเครื่องยนต์ V6 อยู่ถึง 220 ปอนด์ แต่ไม่มีผลกับอัตราเร่งของรถแต่อย่างใด น้ำหนักที่มากขึ้นนี้ทำให้จะต้องมีการปรับปรุงดัดแปลงระบบกันสะเทือน อุปกรณ์ต่างๆในการควบคุมรถเพื่อให้แน่ใจว่า RAV4 EV จะมีสมดุลย์ของตัวรถที่เหมาะสมและควบคุมได้ง่าย
ที่มา: Toyota ,autospinn

New Toyota Prius Hybrid ลูกผสมรุ่นล่าสุด

New Toyota Prius Hybrid ลูกผสมรุ่นล่าสุด โตโยต้า พรีอุส ไฮบริด (Prius Hybrid) รุ่นปี 2010 เป็นแฮทช์แบ็กรุ่นกลางขนาด 5 ที่นั่ง โฉมใหม่เพรียวลง ตัวถังใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ขุมพลังน้ำมัน-ไฟฟ้า เจเนอเรชั่นที่ 3 ประหยัดน้ำมันเป็นสถิติใหม่ และมลพิษไอเสียต่ำ
โตโยต้า มอเตอร์เซลส์ ในสหรัฐ เปิดตัวพรีอุส ดีไซน์ใหม่ทั้งหมดเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 ในงานมหกรรมยานยนต์ที่ดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 17-25 มกราคมนี้

พรีอุสถือเป็นรถยนต์ไฮบริดที่ผลิตขายจำนวนมากรุ่นแรกในโลก ทั้งยังเป็นรุ่นบุกเบิกเทคโนโลยีขุมพลังไฮบริด เรียกว่า Hybrid Synergy Drive System หรือ HSD ซึ่งเป็นการผสมผสานสมรรถนะการขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า

ปริมาณยอดขายจนถึงปัจจุบันมากกว่า 1 ล้านคัน หลังเปิดตัวกว่า 10 ปีมาแล้ว พรีอุสได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงเจเนอเรชั่นที่ 3 กระบวนการสร้างสรรค์เน้นการลดมลพิษทุกลำดับวงจรชีวิตของรถยนต์ ตั้งแต่การผลิต การใช้งาน จนถึงการกำจัดหรือนำกลับมาใช้ใหม่
พรีอุสเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นแต่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน Atkinson 4 สูบ 1.8 ลิตร VVT-i 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 105 ปอนด์-ฟุต ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดเพิ่มขึ้นโดยมีแรงบิดรอบต่ำดีกว่าเดิม

ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าแบบแม่เหล็กถาวร (Permanent magnet synchronous motor) ให้กำลัง 80 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 153 ปอนด์-ฟุต ร่วมกับแบตเตอรี่ชนิด Nickel metal hydride เมื่อผนึกกำลังกับเครื่องยนต์แล้ว ระบบไฮบริดรุ่นใหม่จะมีกำลังสูงสุดรวมกัน 134 แรงม้า

โตโยต้าเสริมประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ด้วยการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้าและระบบการไหลเวียนไอเสีย (Exhaust Gas Recirculation-EGR) มีค่ามลพิษในไอเสียต่ำมากจนอยู่ในระดับ SULEV หรือ Super-Ultra-Low-Emission-Vehicle

จากการทดสอบในสหรัฐอเมริกา พรีอุสใหม่มีอัตราบริโภคเชื้อเพลิงต่ำเฉลี่ย 21.17 กม./ล. ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นแรก 17.36 กม./ล. และรุ่นที่สอง 19.47 กม./ล.

จุดเด่นของพรีอุสไฮบริดที่แตกต่างจากคู่แข่งส่วนใหญ่คือ การใช้ระบบไฮบริดเต็มรูปแบบมาตั้งแต่เปิดตัวหนแรก สามารถเลือกขับเคลื่อนเฉพาะเครื่องยนต์เบนซินหรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว หรือจะเลือกขับแบบผสมทั้ง 2 ประเภทก็ได้ มีการชาร์จแบตเตอรี่ขณะรถวิ่ง

ระบบไฮบริด HSD ของพรีอุสใหม่ได้รับการพัฒนาใหม่ประมาณ 90% เพลามีน้ำหนักเบากว่าเดิมจึงสูญเสียแรงบิดน้อยลง 20% จากรุ่นก่อน และใช้ระบบเบรกชาร์จพลังงานพัฒนาใหม่

นอกจากจะมีสมรรถนะการขับเคลื่อนที่ดี ซึ่งส่งผลต่ออัตราประหยัดเชื้อเพลิงแล้ว โตโยต้ายังเสนอโหมดขับให้เลือกอีก 3 โหมด คือ EV-Drive Mode ขับด้วยแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวที่ความเร็วต่ำ 1.6 กม./ชม. หรือ Power Mode ให้ความรู้สึกแบบสปอร์ตมากขึ้น หรือ Eco Mode ขับประหยัดพลังงาน ทำให้วิ่งระยะทางไกลกว่าเดิม
โฉมภายนอกรูปทรงเพรียวขึ้น มีแอโร่ไดนามิกสูง ช่วยขับเน้นตัวถังรูปลิ่มซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพรีอุส เสา A-Pillar ขยับไปด้านหน้าสะท้อนพลังและความแรง ดีไซน์ท้ายรถกว้างขึ้น เน้นอารมณ์สปอร์ตมากขึ้น ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานอากาศ 0.25 ดีกว่าระดับ 0.26 ในรุ่นก่อน

มิติใหม่ยาวขึ้นเล็กน้อยเป็น 175.6 นิ้ว ความกว้าง 68.7 นิ้ว ความสูงคงเดิม 58.7 นิ้ว แต่ไลน์หลังคาเฉียงขึ้นด้านท้าย 3.9 นิ้ว ขับเน้นตัวถังรูปลิ่มเด่นชัด ดูปราดเปรียวเมื่อมองจากด้านข้างและเพิ่มเนื้อที่เหนือศีรษะให้ผู้โดยสารเบาะด้านหลัง ฐานล้อขนาดเดิม 106.3 นิ้ว

พรีอุสผลิตจากแพลตฟอร์มใหม่ที่มีการปรับปรุงด้านเสถียรภาพการทรงตัวและยึดเกาะถนนดีขึ้น ลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร เพิ่มความแข็งแกร่งและความปลอดภัยต่อการชนดีขึ้น ใช้ล้ออัลลอย 15 นิ้ว คู่กับยางขนาด 195/65 มีออพชั่นล้ออัลลอย 17 นิ้ว และยางขนาด 215/45
ห้องโดยสารกว้างและเงียบขึ้น ห้องเก็บสัมภาระใหญ่ขึ้น ให้อุปกรณ์มาตรฐานคุณภาพสูง การควบคุมเครื่องเสียงหรือสวิตช์ข้อมูลต่าง ๆ เป็นระบบจอสัมผัส Touch Sensor อยู่บนพวงมาลัย ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบ Touch Tracer ที่แสดงสถานะการใช้งานบนแผงหน้าปัด มีให้เป็นรุ่นแรกในโลก จอแสดงข้อมูลการขับขี่แสดงข้อมูลความสิ้นเปลืองน้ำมันเมื่อขับโหมด Eco
อีกทั้งยังเสนอออพชั่นพิเศษสุดอย่างหลังคามูนรูฟพร้อมแผงโซลาร์เหนือเบาะด้านหลัง หลอดไฟ LED สำหรับไฟหน้า ไฟท้ายและไฟเบรก มีระบบช่วยจอด (Intelligent Parking Assist- IPA) เป็นส่วนหนึ่งในระบบความปลอดภัยที่ดีระดับแถวหน้าในโลก

โตโยต้าจะเผยราคาของพรีอุสใหม่ใกล้วันจำหน่ายในสหรัฐราวเดือนมิถุนายน

Credit : http://www.ecareasy.com/www/show_carnews.php?news_id=2659
ที่มา oknation

13 ปีแห่งการเดินทางของ โตโยต้า พรีอุส

ปี 1997 โตโยต้าทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักกับระบบขุมพลังรูปแบบใหม่อย่างไฮบริด ซึ่งสามารถผลิตและพัฒนาขึ้นมาเพื่อการใช้งานจริง โดยขายในเชิงพาณิชย์ผ่านทางรถยนต์สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่าพริอุส (Prius)

อีก13 ปีต่อมา รถยนต์รุ่นนี้ได้สร้างรากฐานและทำให้ระบบไฮบริดได้รับความสนใจจากลูกค้าทั่วโลก และรถยนต์พริอุสเองก็เพิ่งทำยอดการชสายสะสมทั่วโลกนับตั้งแต่เปิดตัวทะลุหลัก 2 ล้านคันไปแล้วเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
เจเนอเรชันที่ 1


จุดเริ่มต้นของการพัฒนารถยนต์รุ่นนี้เกิดจากเอกสารของโตโยต้าที่ชื่อว่า Earth Charter ในปี 1992 ซึ่งทางแบรนด์ดังของญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายในการพัฒนาและผลิตเทคโนโลยีการขับเคลื่อนซึ่งมีมลพิษต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จากนั้นแนวคิดนี้ทำให้เกิดโครงการ G21 ขึ้นมาซึ่งเริ่มทำงานในเดือนกันยายน 1993 โดยมีเป้าหมายในการพัฒนารถยนต์เพื่อศตวรรษที่ 21 ซึ่งในปี 1994 รถยนต์ต้นแบบก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และนำออกโชว์ตัวเป็นครั้งแรกในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 1995

จากนั้นในปี 1996 โตโยต้ายืนยันการขึ้นไลน์ผลิตรถยนต์รุ่นนี้อย่างชัดเจน ด้วยการนำออกแล่นทดสอบภายใต้สภาพการใช้งานจริงเพื่อเก็บข้อมูล และนั่นนำไปสู่การกำเนิดของพริอุสรุ่นแรกที่มาพร้อมรหัสตัวถัง NHW10 โดยถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคม 1997 และถือเป็นรถยนต์ไฮบริดที่ถูกผลิตในเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของโลก

อย่างไรก็ตาม พริอุสรุ่นแรกยังเป็นแค่ผลผลิตที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับกับความต้องการของคนญี่ปุ่น และยังไม่มีการส่งขายในตลาดต่างแดนอย่างเป็นทางการ โดยชื่อของพริอุสมาจากคำในภาษาละตินที่มีความหมายเดียวกับคำว่า Prior และทางโตโยต้าวางระดับตลาดของพริอุสรุ่นแรกโดยแทรกกลางระหว่างรถยนต์ซับคอมแพกต์อย่างรุ่นเอ็คโค่ และกลุ่มคอมแพกต์อย่างโคโรลล่า

รุ่นแรกมากับตัวถังแบบ 4 ประตูที่มีขนาดกะทัดรัดด้วยความยาว 4,275 มิลลิเมตร กว้าง 1,694 มิลลิเมตร สูง 1,491 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดรหัส 1NZ-FXE ที่มีเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 1500 ซีซี 58 แรงม้าเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อน และเสริมแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 40 แรงม้าในการทำหน้าที่ช่วยขับเคลื่อน และชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่แบบนิเกิล เมทัลไฮดราย
จุดเด่นของระบบไฮบริด คือ เครื่องยนต์ถูกปรับให้มีความประหยัดน้ำมันมากขึ้นด้วยการใช้ระบบการเผาไหม้แบบ Atkinson Cycle และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาเสริมพลังกำลังขับเคลื่อนในช่วงรอบต่ำ เพื่อทดแทนข้อด้อยที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ซึ่งใช้ระบบการเผาไหม้แบบนี้ โดยนอกจากจะช่วยในการขับเคลื่อนแล้ว มอเตอร์ไฟฟ้ายังเปลี่ยนบทบาทมาเป็นตัวชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่เมื่อมีการเบรกหรือถอนคันเร่ง

อีกจุดเด่นสำคัญของระบบไฮบริดคือ เครื่องยนต์ที่สามารถดับเมื่อจอดเดินเบาอยู่กับที่ และกลับมาสตาร์ทอีกครั้งเมื่อถอนเบรกและกดคันเร่ง โดยการที่รถต้องจอดติดอยู่ท่ามกลางการจราจรถือเป็นการเปลืองน้ำมันแบบเปล่าประโยชน์ และยังปล่อยมลพิษออกมาอย่างมาก ซึ่งแนวคิดนี้ได้ถูกผู้ผลิตรถยนต์หลายรายนำไปประยุกต์เป็นระบบที่เรียกว่า Auto Stop&Start เพื่อใช้กับรถยนต์ธรรมดาอีกด้วย

แม้ในตลาดญี่ปุ่น โตโยต้าจะเป็นผู้บุกเบิกตลาด แต่สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกากลับไม่ใช่ เพราะโตโยต้าส่งพริอุสรุ่นปรับโฉมที่ถูกเปลี่ยนมาใช้รหัส NHW11 เข้าทำตลาดช้ากว่าที่ฮอนด้าส่งอินไซท์รุ่นแรกเข้ามาทำตลาดร่วมปี โดยพริอุสรุ่นนี้เปิดตัวในเมืองลุงแซมเมื่อปี 2000 และมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงทั้งรูปลักษณ์และรายละเอียดทางเทคนิค

นอกจากตัวถังที่ถูกเพิ่มความยาวขึ้นมาเป็น 4,308 มิลลิเมตร สมรรถนะของระบบไฮบริด THS-Toyota Hybrid System ยังได้รับการปรับปรุงอีกด้วย โดยเครื่องยนต์ 1500 ซีซีซึ่งมีเรี่ยวแรงขยับขึ้นมาเป็น 70 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.3 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที เช่นเดียวกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ขยับขนาดขึ้นมาเป็น 44 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. และได้รับการรับรองโดยหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือ CARB-California Air Resources Board ให้จัดอยู่ในระดับรถยนต์มลพิษต่ำในกลุ่ม ULEV หรือ Ultra Low Emission Vehicle
เจเนอเรชันที่ 2


สำหรับยุโรปก็ทำตลาดในปีเดียวกับสหรัฐอเมริกาแต่เป็นช่วงเดือนกันยายน และในปี 2002 โตโยต้า อังกฤษได้นำพริอุสมาดัดแปลงเป็นรถแข่งแรลลี่แบบไฮบริดคันแรกของโลก เพื่อเข้าร่วมรายการ Midnight Sun to Red Sea Rally เมื่อเดือนมิถุนายน 2002 ซึ่งมีระยะทาง 5,000 ไมล์ หรือ 8,000 กิโลเมตร เดินทางจากสวีเดนมายังประเทศจอร์แดน ก่อนจบการแข่งขันในอันดับที่ 14

ปี 2003 ถึงเวลาของการเปลี่ยนโฉมหรือโมเดลเชนจ์ ซึ่งโตโยต้าเปิดตัว NWH20 หรือพริอุสรุ่นที่ 2 ออกมาในตลาดญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะว่าในเมืองลุงแซม ชื่อของพริอุสเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะรถยนต์ที่มีทั้งความประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นอกจากเทคโนโลยีไฮบริดที่ได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว ในเรื่องของตำแหน่งทางการตลาดของพริอุสก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะแต่เดิมแทรกกลางระหว่างตลาด B กับ C-Segment คราวนี้ถูกอัปขนาดตัวถัง พร้อมกับเปลี่ยนมาเป็นแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตูและสมรรถนะของระบบก็เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาขยับขึ้นมาแทรกกลางระหว่างโคโรลล่า และคัมรี่ หรือ C กับ D-Segment

รุ่นนี้มีการนำระบบคอมเพรสเซอร์แอร์แบบไฟฟ้ามาใช้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกับพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่แบบนิเกิลเมทัลไฮดรายก็มีขนาดเล็กลงแต่สมรรถนะดีขึ้น เช่นเดียวกับอายุการใช้งานที่โตโยต้ากล้ารับประกันถึง 160,000 กิโลเมตรหรือ 8 ปี

พริอุส รุ่นที่ 2 ยังใช้เครื่องยนต์ไฮบริดรหัส 1NZ-FXE ที่มีขุมพลังเบนซินแบบ 4 สูบ 1500 ซีซีเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก แต่ก็ขยับกำลังขึ้นมาเป็น 76 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.7 กก.-ม. ที่ 4,300 รอบ/นาที และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 67 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม. ซึ่งระบบโดยรวมสามารถผลิตกำลังออกมาได้ 110 แรงม้า
จากการปรับปรุงในทุกส่วนรวมถึงการคายก๊าซพิษในไอเสียลดลง ทำให้พริอุสเจเนอเรชันที่ 2 ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่ม SULEV หรือ Super Ultra Low Emission Vehicle ของทาง CARB และจากการที่มีโหมด EV ซึ่งสามารถแล่นด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในช่วงสั้นๆ โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ทำให้พริอุสรุ่นนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นรถยนต์แบบ AT-PZEV หรือ Advanced Technology Partial Zero Emission Vehicle

นอกจากนั้นยังถือเป็นความสำเร็จอย่างมากบนเวทีแจกรางวัล เมื่อพริอุสรุ่นนี้ได้รับเลือกให้เป็นรถยนต์ยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 2005 โดยมีคะแนนทิ้งห่างทั้งฟอร์ด โฟกัส และซีตรอง ซี4 อีกทั้งยังเป็นรถยนต์ของโตโยต้ารุ่นที่ 2 ที่ได้รับเลือกให้คว้ารางวัลนี้ต่อจากยาริสรุ่นแรกที่ทำได้ในปี 2000

ในเรื่องของการผลิต ในรุ่นนี้เป็นครั้งแรกที่โตโยต้าขยายไลน์ผลิตของตัวเองออกจากญี่ปุ่น โดยมาตั้งโรงงานอยู่ที่เมือง Changchun ประเทศจีนในปี 2005 เพื่อผลิตขายและรองรับกับความต้องการของลูกค้าชาวจีน

อีกทั้งพริอุสรุ่นนี้ยังได้รับความนิยมอย่างมากจากดาราในฮอลีวูดโดยมีลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และคาเมรอน ดิแอซเป็นผู้สร้างกระแส และช่วยทำให้รถยนต์รุ่นนี้ รวมถึงรถยนต์ไฮบริดรุ่นอื่นๆ ของโตโยต้าได้รับความสนใจอย่างเป็นวงกว้าง
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เปิดตัว Toyota Prius พร้อมเคาะราคา Standard Grade 1.19 ล้าน Top Grade 1.26 ล้าน

มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย มร.อากิฮิโกะ โอทซูกะ หัวหน้าวิศวกร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์เปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และ นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมแถลงข่าวแนะนำ Toyota Prius 3rd Generation ครั้งแรกในประเทศไทย ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
รถยนต์ไฮบริดในประเทศไทย

จากความมุ่งมั่นเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งยึดถือเป็นปรัชญาของ โตโยต้า ในการสร้างสรรค์ และพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่ล้ำสมัย ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบ ความห่วงใยต่อชุมชน และสิ่งแวดล้อมโลก โดยการมุ่งมั่นพัฒนา เพื่อผลิตรถยนต์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งไม่ได้พัฒนาเพียงแค่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ แต่รวมถึงกระบวนการผลิต โดยการนำวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่มาเป็นวัตถุดิบ เพื่อลดปริมาณของเสียและประหยัดพลังงาน ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีของโลกและมนุษยชาติ

รถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของ โตโยต้า คือ Toyota Prius เจนเนอเรชั่น 1 ได้กำเนิดขึ้นครั้งแรกในโลกเมื่อปี พ.ศ.2540 โดยคำว่า พริอุส ในภาษาลาตินหมายถึง ‘ผู้ที่ไปถึงก่อนใคร’

ในปี พ.ศ.2552 Toyota camry Hybrid ได้ทำการผลิตขึ้นในประเทศไทย และเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชีย โดยเป็นรถยนต์ไฮบริด ขนาดกลาง ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดเชื้อเพลิง และเป็นรถยนต์ที่ให้ความเงียบ รื่นรมย์ตลอดการขับขี่
และในปี 2553 นี้ โตโยต้า ได้ผลิตรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทยเพิ่มอีกหนึ่งรุ่น นั่นคือ Toyota Prius เจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งนับเป็นประเทศที่ 3 ของโลก สำหรับการผลิต โตโยต้า พริอุส

มร.อากิฮิโกะ โอทซูกะ หัวหน้าวิศวกร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์เปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า “แนวความคิดในการพัฒนา พริอุส ใหม่ คือ การเป็นรถยนต์ไฮบริดที่มีสมรรถนะดีที่สุดในโลก ที่ให้ทั้งความสนุกในการขับขี่ มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ พริอุส นั้นคือ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประหยัดน้ำมัน”

“โตโยต้า พริอุส มีความโดดเด่นในหลายด้าน อาทิ ประสิทธิภาพของระบบไฮบริดที่ดีเยี่ยม การออกแบบที่ล้ำหน้า การติดตั้งอุปกรณ์ที่มีเทคโลยีล้ำสมัย และ มีสมรรถนะในการขับขี่ที่น่าประทับใจ”

มร.โอทซูกะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ประสิทธิภาพของระบบไฮบริดที่ดีเยี่ยมนั้น เกิดจากการเพิ่มขนาดความจุเครื่องยนต์เป็น 1,800 ซีซี ที่ให้กำลังและแรงบิดดีขึ้น ในขณะที่รอบการทำงานต่ำลง การใช้ระบบ EGR แบบเย็น การใช้ปั้มน้ำไฟฟ้าที่ช่วยลดการใช้สายพานหน้าเครื่อง ตลอดจนมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดเล็กลง แต่มีความเร็วรอบมากขึ้น อินเวอร์เตอร์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ให้กำลังไฟมากขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า แต่ให้อัตราเร่งเทียบเท่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2,400 ซีซี.”

“นอกจากนี้ การออกแบบภายนอกที่คำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์ ส่งผลให้ พริอุส มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.25 เท่านั้น นับเป็นค่าที่ต่ำเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนภายในได้รับการออกแบบโดยเน้นถึงการวางตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆ ให้สะดวกต่อการควบคุม และการมองเห็น พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย เช่น ระบบ Head Up Display ที่สามารถแสดงผลมาตรวัดความเร็ว รถบนกระจกบังลมด้านหน้า การแสดงปุ่มควบคุมพวงมาลัยบนจอมาตรวัดความเร็ว ช่วยให้ผู้ขับสามารถมองเห็นได้ในระดับสายตา เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น”

โตโยต้า พริอุส เจนเนอเรชั่นที่ 3 ‘No one else’ แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ Top Grade และ Standard Grade มี 5 สี ให้เลือก ได้แก่ สีขาว White Pearl (เฉพาะรุ่น Top Grade), สีฟ้า Light Blue Mica Metallic, สีเงิน Silver Metallic, สีดำ Black Mica และ สีแดง Blackish Red Mica

สำหรับราคาของ โตโยต้า พริอุส เจนเนอเรชั่นที่ 3 มีดังนี้

• Toyota Prius 1.8L Top (White Pearl) 1,270,000 บาท
• Toyota Prius 1.8L Top 1,260,000 บาท
• Toyota Prius 1.8L Standard 1,190,000 บาท

พบกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชนของ โตโยต้า พริอุส ได้ในงาน Motor Expo 2010 : ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และที่โชว์รูมโตโยต้า 320 แห่งทั่วประเทศ
ที่มา toyota,autospinn

ใหม่โตโยต้า‘พริอุส ไฮบริด’ ราคาน่าใช้ 1.19 ล้านบาท

วันนี้(16 พ.ย)บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จัดงานเปิดตัว“โตโยต้า พริอุส”อย่างเป็นทางการ ชูประสิทธิภาพระบบไฮบริด ขับดีประหยัดน้ำมัน พร้อมการออกแบบทันสมัย ออปชันครบครัน เปิดราคาน่าใช้ 1.19 ล้านบาท

การออกแบบที่โดดเด่น มาพร้อมไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยว มีระบบทำความสะอาดไฟหน้า ด้วยหัวฉีดน้ำทำความสะอาดแบบพับซ่อนเก็บได้ ส่วนไฟท้ายใช้หลอด LED เพื่อความสว่าง ชัดเจน เช่นกัน ในส่วนของล้ออัลลอย ขนาด 15 นิ้ว น้ำหนักเบา ลดแรงเสียดทาน พร้อมการออกแบบที่คำนึงถึงการหมุนวนของอากาศบริเวณซุ้มล้อ ซึ่งมีส่วนช่วยให้มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง
ภายใน ล้ำหรูด้วยเบาะนั่งแบบพิเศษ ที่ปฎิวัติแนวคิดการออกแบบเพื่อความสบายสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง โดยการเพิ่มพื้นที่ระหว่างเบาะหน้าและเบาะหลัง ด้านพื้นที่เก็บของด้านหลัง กว้างขวาง เพียงพอสำหรับถุงกอล์ฟ 3 ใบ ทั้งยังสะดวกสบายด้วยระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry) และ ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start)

พริอุส ใหม่ มีจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบออพติตรอน (Advanced Multi-Information Display หรือ MID) แสดงค่าทุกการทำงานขณะขับขี่ โดยแบ่งการแสดงผลออกเป็น 3 โหมด คือโหมดการทำงานของระบบไฮบริด (Energy Monitor) โหมดแสดงผลการขับขี่แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Hybrid System Indicator)และโหมดแสดงผลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง (Consumption Record)
ด้านเครื่องเสียงเล่นซีดี 6 แผ่นพร้อมลำโพง 8 จุด ที่ให้ความเพลิดเพลินตลอดการเดิน รองรับไฟล์ MP3 / WMA พร้อมช่องต่อ AUX (*เฉพาะรุ่น Top Grade) และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth)

เครื่องยนต์ Atkinson Cycle รหัส 2ZR - FXE 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-I ขนาด 1,797 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที มาพร้อมระบบควบคุมการหมุนเวียนไอเสีย EGR(Exhaust Gas Recirculation) ที่ติดตั้งระบบระบายความร้อน
ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motor) ชนิดมอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวรพัฒนาระบบเกียร์ทดกำลังให้มีขนาดเล็กลงและน้ำหนักเบายิ่งขึ้น แต่สามารถรองรับการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงขึ้น โดยให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร

ส่งกำลังด้วยเกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ (Electronic Gear Shift) เทคโนโลยีแห่งการขับเคลื่อนที่รองรับทุกการสั่งงาน พร้อมระบบคันเกียร์ที่กลับคืนสู่ตำแหน่งกลางโดยอัตโนมัติทุกครั้งหลังการเข้าเกียร์ เพิ่มความสะดวก

ขณะที่แบตเตอรีแบบ Ni-MH (Nickel–Metal Hydride) น้ำหนักเบา ทนทานยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างดีเยี่ยม
พริอุส ใหม่ สามารถเลือกโหมดการขับได้ 3 รูปแบบ คือโหมดการขับขี่ทรงพลัง (PWR Mode) ระบบจะผสานกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ เพื่อตอบสนองการขับขี่อย่างทันใจ และโหมดการขับขี่ประหยัดน้ำมัน (ECO Mode) ซึ่งระบบจะเลือกใช้กำลังในการขับเคลื่อน จากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รวมถึงโหมดการขับขี่เงียบสนิท (EV Mode) ระบบจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เหมาะสำหรับการเดินทางในบริเวณที่ใช้ความเร็วต่ำ

ด้านความปลอดภัย จัดมาให้ทั้ง สัญญาณไฟเบรกกระพริบเมื่อเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Lamps) ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC - Vehicle Stability Control) ที่ทำงานร่วมกับ EPS (Electronic Power Steering) รักษาการทรงตัวของรถในทุกสภาพการขับขี่ โดยการสั่งให้เครื่องยนต์ลดความเร็วอัตโนมัติ และควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกทั้ง 4 ล้ออย่างอิสระเพื่อรักษาการทรงตัวของรถให้สมดุลที่สุด ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution) ในทุกๆการเบรก ระบบจะปรับแรงดันน้ำมันเบรกทั้ง 4 ล้อให้เหมาะสมกับน้ำหนักที่กดลงในแต่ละล้อ

รวมถึงระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC - Traction Control System) คอยควบคุมและป้องกันการลื่นไถลของล้อ เมื่อมีการเหยียบคันเร่งมากเกินไปขณะออกตัว หรือการเร่งความเร็วแบบกะทันหันบนถนนลื่น และระบบป้องกันล้อล็อก (ABS - Anti-lock Braking System) สำหรับการเบรกแบบกะทันหันบนถนนที่เปียก ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับควบคุมทิศทางของรถได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมีถุงลมนิรภัย 7 จุดรอบคัน อยู่ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านข้าง 2 ตำแหน่ง ม่าน 2 ตำแหน่ง และ เข่าคนขับ 1 ตำแหน่ง ขณะที่หมอนพิงศีรษะคู่หน้าแบบช่วยลดแรงกระแทก (Active Headrest) เมื่อเกิดการชนจากด้านหลัง หมอนพิงศีรษะจะปรับองศาอัตโนมัติเพื่อรองรับสรีระบริเวณคอทันที ช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บที่กระดูกคอ

พริอุส แบ่งเป็น 2 รุ่นย่อย 1.8L Standard ราคา 1.19 ล้านบาท 1.8L Top 1.26 ล้านบาท ส่วนตัวท็อปสีขาวมุก ราคา 1.27 ล้านบาท

ทั้งนี้โตโยต้าเตรียมเผยโฉมพริอุส สู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการ ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และพร้อมลงโชว์รูมโตโยต้า 320 แห่งทั่วประเทศตั้งแต่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

โตโยต้า เลกซัส อาร์เอ็กซ์270 ความหรูราคา 3.79 ล้าน

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์ เลกซัส อาร์เอ็กซ์270 ใหม่ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร 185 แรงม้า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์ เลกซัส ทางเลือกให้แก่ลูกค้าตลาดบนที่ชื่นชอบเอสยูวีตระกูล RX ด้วยการส่ง อาร์เอ็กซ์270 ใหม่ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร 185 แรงม้า ชูความคุ้มค่าและการประหยัดน้ำมัน ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง

หลังจากทำตลาด เลกซัส อาร์เอ็กซ์ เจเนอเรชัน 3 ด้วยรุ่น อาร์เอ็กซ์350 ที่เปิดตัวเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ตามด้วยรุ่น อาร์เอ็กซ์ 450h ไฮบริด ในงานมอเตอร์โชว์ เดือนมีนาคมปีเดียวกัน ล่าสุดแบรนด์หรูในเครือโตโยต้า จัดการเสริมไลน์ด้วย RX270 ใหม่ ซึ่งหน้าตานั้นไม่ได้ปรับเปลี่ยนไปจากรุ่นพี่ๆ แต่ประเด็นอยู่ที่การวางหัวใจใหม่

ด้วยเครื่องยนต์ 1AR-FE ขนาด 2.7 ลิตร Dual VVT-i ให้กำลังสูงสุด185 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 252 นิวตันเมตร ที่ 4200 รอบต่อนาที ส่งกำลังสู่ล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด โดยเคลมอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยไว้ 10.2 กม./ลิตร

อาร์เอ็กซ์270 มาพร้อมออปชั่นอำนวยความสะดวก ปลอดภัย เช่น จอ EMV ขนาด 8 นิ้ว แสดงการประมวลผลและการทำงานของระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องเสียง (Mark Levinson Surround Sound System 7.1-channel 15 ลำโพง พร้อมรองรับการเล่นแผ่น DVD) ระบบภาพ ระบบควบคุมอุณหภูมิ ระบบการเชื่อมต่อโทรศัพท์บลูทูธ และระบบนำทาง

นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยจอด ระบบจอแสดงภาพด้านข้าง ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS ที่จะช่วยออกแรงตามหรือสวนทางของการหักพวงมาลัยเพื่อรักษาการทรงตัวของรถ ระบบการจัดการรวมไดนามิกของตัวรถ VDIM ซึ่งจะทำการควบคุมทั้งกำลังเครื่องยนต์ เบรก และพวงมาลัยให้สามารถทำงานกันได้อย่างสมดุล พร้อมมั่นใจด้วยถุงลมนิรภัย 10 จุด

เลกซัส อาร์เอ็กซ์270 ราคา 3.79 ล้านบาท ส่วนรุ่นมีหลังคาแก้วมูนรูฟ ราคา 4.09 ล้านบาท

โตโยต้า เลกซัส อาร์เอ็กซ์270 ความหรูราคา 3.79 ล้าน
ที่มาโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

พริอุสเปิดราคา1.24ล้านเสียบกลางอัลติส-คัมรี่

ค่ายยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” เดินหน้ารุกตลาดรถไฮบริดเต็มเหนี่ยว หลังจากทำการพรีวิว “โตโยต้า พริอุส” กับสื่อมวลชนไปแล้ว จากนั้นวางโปรแกรมปั้นไฮบริดคันเก่งอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ขนกองทัพนักข่าว รวมถึง “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ไปสัมผัสและรู้จักพริอุสเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ต้นตำรับรถไฮบริดขายเชิงพาณิชย์คันแรกของโลก เมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ในไทยก็ยกทัพผู้จัดการตัวแทนจำหน่ายไปอบรมเช่นกัน ตามด้วยคิวของพนักงานขายในช่วงปลายสัปดาห์หน้า จากนั้นจึงจะเปิดตัวทำตลาดอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้

แต่ก่อนจะถึงวันนั้นพริอุสก็ได้รับความสนใจ ติดตามและสอบถามจากลูกค้าในไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะราคาจำหน่ายเป็นทางการ หลังจากโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้เผยราคาคร่าวๆ ออกมาที่ประมาณ 1.3 ล้านบาท
ล่าสุด “พิธานพาณิชย์” ดีลเลอร์รายใหญ่ของโตโยต้า เปิดราคาผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทเป็นทางการ รถโมเดลใหม่ “โตโยต้า พริอุส” มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ พริอุส 1.8L รุ่นมาตรฐาน เปิดราคาที่ 1.249 ล้านบาท และรุ่น 1.8L ตัวท็อป ราคา 1.319 ล้านบาท จะเห็นว่าเป็นราคาถูกวางไว้ตรงกลาง ระหว่าง “โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส” รุ่นท็อป 1.194 ล้านบาท และ“โตโยต้า คัมรี ไฮบริด” ตัวล่างสุด 1.619 ล้านบาท ซึ่งจากการสอบถามตัวแทนขายของพิธานพาณิชย์ ยืนยันว่าเป็นราคาทางการ เพราะได้มีการขึ้นในลิสต์ราคาของบริษัทแล้ว

ส่วนสีมีให้เลือก 4 สี คือ สีบรอนซ์ ดำ แดง และฟ้า นอกจากนี้ยังมีพิเศษ “ขาวมุก” เฉพาะรุ่นท็อปด้วย แต่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 หมื่นบาท

ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ของพริอุส อาทิ ในรุ่นมาตรฐานมีไฟหน้าเป็นแบบฮาโลเจน ระบบ Push Start แอร์แบกโดยรอบ 7 ลูก และเบาะผ้า พร้อมระบบความปลอดภัยครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ABS, VSC และTRC ด้านรุ่นท็อปมีไฟหน้าเป็นแบบ LED และ Projector มีระบบเปิดปิดอัตโนมัติ ไฟหน้าสูงต่ำอัตโนมัติ กระจกด้านข้างลดการเกาะของหยดน้ำ เบาะหนัง และระบบอุ่นเบาะ เป็นต้น โดยโตโยต้า พริอุส ขับเคลื่อนด้วยระบบ Hybrid Synergy Drive วางเครื่องยนต์เบนซินแบบ Atkinson ขนาด 1,800 ซีซี และหลังจากเปิดตัวจะส่งมอบล็อตแรกได้ในเดือนธันวาคมนี้
พริอุสเปิดราคา1.24ล้านเสียบกลางอัลติส-คัมรี่
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

NewToyota เปิดตัวโตโยต้า "พริอุส" ใหม่รถดีที่ปฏิเสธไม่ลง

NewToyota เปิดตัวโตโยต้า "พริอุส" ใหม่รถดีที่ปฏิเสธไม่ลง ก่อนที่คนไทยจะมีโอกาสสัมผัสกับคันจริง “โตโยต้า พริอุส” ในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า เรามาทำความรู้จักกับรถไฮบริด รุ่นแรกของโลกที่ออกจำหน่ายในเชิงพาณิชย์จนปัจจุบันกลายเป็นรถที่ได้รับการยอมรับในความโดดเด่นเรื่องเทคโนโลยีการขับเคลื่อนระบบไฮบริด ที่ผสานกำลังขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าส่งผลให้ พริอุส เป็นรถประหยัดน้ำมันแบบสุดสุด แถมยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญพริอุสมียอดขายสะสมทั่วโลกตั้งแต่เปิดตัวทะลุหลัก 2 ล้านคัน เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา

เพื่อทำความรู้จักกับพริอุส เจเนอเรชันที่ 3 อย่างละเอียด ถูกต้อง ชัดเจน บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จึงพาสื่อมวลชนไปสัมผัสกันแบบใกล้ชิด ณ เมือง นาโกยา ประเทศญี่ปุ่น โดยมี อากิฮิโกะ โอซึกะ หัวหน้าวิศวกรดูแลโตโยต้าพริอุส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน เป็นผู้ให้ความรู้กับสื่อมวลชนไทย แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า พริอุส ที่กำลังจะพูดถึงเป็นเวอร์ชันญี่ปุ่น ส่วนเวอร์ชันที่จะประกอบในไทยจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างจากเวอร์ชันญี่ปุ่น ซึ่งเราคงต้องรอจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน นี้
สำหรับเจเนอเรชันที่ 3 ของพริอุสได้รับการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถตอบสนองต่อความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และสมรรถนะในการขับขี่ที่ขึ้นจาก 2 รุ่น ที่ผ่านมา และครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของการเปลี่ยนแปลงระบบไฮบริดจากเดิมที่ยึดเครื่องยนต์ 1500 ซีซี มาเป็น 1800 ซีซี ขณะที่รูปแบบตัวถังยังคงสไตล์แฮทช์แบ็กท้ายลาด 5 ประตู แต่จุดที่เปลี่ยนไปคือ ความใส่ใจในเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานหรือ Cd จากเดิม 0.26 ในรุ่นที่แล้วมาอยู่ที่ 0.25 ในรุ่นนี้

พริอุส ใหม่มีขนาดตัวถังยาว 4,460 มิลลิเมตร กว้าง 1,745 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับพริอุสรุ่นที่แล้วยาว 4,310 มิลลิเมตร กว้าง 1,715 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร
รูปลักษณ์ภายนอก ยังคงยึดแนวเส้นสายจากรถรุ่นเดิม แต่ถูกปรับปรุงให้ดูสมดุลและลงตัวกว่าเช่นมุมของกันชนหน้าและชุดไฟท้ายไปจนถึงการออกแบบล้ออัลลอยให้มีฝาครอบล้อ ซึ่งช่วยลดน้ำหนักลงไปจากล้ออัลลอยแบบปกติถึง 7 กิโลกรัม อีกทั้งยังออกแบบใต้พื้นตัวถังให้ลดปัญหาเรื่องความแปรปรวนของอากาศที่ไหลผ่านขณะแล่นซึ่งจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนเวลาแล่นด้วยความเร็วสูง และลดการก่อให้เกิดแรงต้านทานของอากาศซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

ขณะเดียวกันชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารยังผลิตจากวัสดุที่เป็น Bioplastic ซึ่งเป็นวัสดุที่ถูกสังเคราะห์จากใยพืชหรือหญ้าแทนที่จะเป็นพลาสติกที่มาจากปิโตรเลียมซึ่งย่อยสลายได้ยากตามธรรมชาติ โดยใช้พืชที่เรียกว่าปอแก้ว และหญ้าจีนซึ่งถือเป็นพืชที่มีเส้นใยที่มีความทนทานสูงสุดในธรรมชาติ
แผงหน้าปัดถูกออกแบบให้ดูล้ำสมัยยิ่งขึ้น ตำแหน่งชุดมาตรวัด ดิจิตอล (Digital) ถูกออกแบบให้ช่วยลดการละสายตาของผู้ขับขี่ พวงมาลัยยังคงออกแบบให้มีรูปทรงเหมือนกับพริอุสรุ่นก่อน มีสวิชต์การควบคุมการทำงานของระบบเครื่องเสียงและอื่น ๆ อีกมาก บนหน้าจอจะมีระบบแจ้งสถานะของรถได้ และเลือกเปลี่ยนโหมดต่าง ๆ ได้ด้วยการกดปุ่ม Display

สำหรับห้องโดยสารดูกว้างขวางมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง และที่สำคัญเบาะนั่งแถวหลังยังแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังจากเดิม 415 ลิตร มาเป็น 446 ลิตรในรุ่นใหม่

ในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนขุมพลังไฮบริดมาเป็นรหัส 2ZR-FXE ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว แบบ Dual-VVT-I มีความจุ 1800 ซีซี พร้อมกำลังขับเคลื่อน 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส 3JM มีกำลังสูงสุด 82 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 21.1 กก.-ม. โดยเมื่อทั้ง 2 ระบบทำงานร่วมกันจะสามารถผลิตกำลังออกมาได้ 134 แรงม้า และใช้แบตเตอรี่แบบนิเกิลเมทัลไฮดรายในการเก็บกระแสไฟฟ้า
ข้อดีของเครื่องยนต์ที่มีความจุมากขึ้นคือแรงบิดที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ลืมในเรื่องของความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะมีการออกแบบให้เครื่องยนต์ลดจำนวนรอบลง โดยเฉพาะเมื่อต้องแล่นด้วยความเร็วคงที่บนไฮเวย์ รวมถึงยังใช้ปั๊มน้ำไฟฟ้าเพื่อลดภาระให้กับเครื่องยนต์

ระบบไฮบริดของโตโยต้ารุ่นนี้ จะมีการแบ่งการทำงานของระบบไฮบริดเอาไว้ 3 แบบ คือ Power เน้นสมรรถนะและความเร้าใจ, Eco เน้นความประหยัดน้ำมัน และ EV ซึ่งสามารถขับภายใต้รูปแบบของรถยนต์ไฟฟ้าได้ในช่วงเวลาสั้นๆ โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่เพื่อส่งให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าใช้ในการขับเคลื่อน และนั่นทำให้พริอุสสามารถแปลงร่างเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมลพิษออกสู่อากาศชั่วคราว

เมื่อทราบถึงรายละเอียดคร่าว ๆ ของ พริอุส รุ่นใหม่กันไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะลงสนามไปลองขับ สัมผัส คันจริงกันบ้าง
หากคุณมีเงินถึงและอยากได้รถที่มีประโยชน์ใช้สอยสูง สมรรถนะดี ประหยัดน้ำมัน หน้าตาทันสมัย ล้ำยุค ที่สำคัญคุณเป็นคนห่วงใยสิ่งแวดล้อม .....ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ซื้อ "พริอุส"
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

The Style by Toyota ปรับโฉมขยายฐานทุกวัย

โตโยต้าปรับโฉม “The Style by Toyota” สยามสแควร์ พร้อมขยายฐานคลอบคุลมทุกวัย เน้นรูปแบบภายนอกทันสมัย ภายในอัดความรู้ เทคโนโลยี ความบันเทิงเพียบ พิเศษด้วยการโชว์รถต้นแบบผลัดเปลี่ยนตลอด
นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนปรับปรุงอาคาร The Style by Toyota โดยให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์อันน่าตื่นตาไปกับเทคโนโลยีของโตโยต้า แต่ยังคงความเป็น Edutainment ซึ่งบริษัทจะปรับปรุงด้านนอกอาคารให้ดูโดดเด่นทันสมัย และเน้นการประหยัดพลังงาน ส่วนภายในอาคารได้ติดตั้งอุปกรณ์ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และปรับเปลี่ยนโทนสีภายในให้ดูทันสมัย และจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนต่างๆ อาทิ ส่วนจัดแสดงเทคโนโลยียานยนต์ที่ล้ำสมัยผ่านรถยนต์ต้นแบบของโตโยต้า สัมผัสประสบการณ์ตรงกับรถยนต์โตโยต้ารุ่นต่างๆ โดยเฉพาะ รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเข้าร่วมกิจกรรม CSR กับโตโยต้าอีกด้วย
“the Style by Toyota โฉมใหม่ จะสามารถขยายกลุ่มเป้าหมายกว้างขึ้น ตั้งแต่ กลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มวัยทำงาน เราคาดหวังว่าอาคารใหม่นี้ จะเป็นแหล่งพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้คนทุกวัย นอกจากนี้ เรายังได้วางแผนจัดกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสมตรงกับความต้องการของผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นกิจรรมดนตรี แฟชั่น กีฬา และกิจกรรมอื่นๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ ”
โดยการปรับโฉมครั้งนี้ลงทุนไปประมาณ 50 ล้านบาท คาดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกว่าเท่าตัวจากปัจจุบันที่มี 60,000 คน เป็น 120,000 คนภายในปี 2554 สำหรับไฮไลท์ของการปรับโฉมครั้งนี้อยู่ที่ลานชั้น1 ซึ่งเป็นส่วนแสดงรถต้นแบบส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นถึง 2 รุ่นด้วยกันคือ Toyota i-unit และ Toyota RiN ส่วนชั้น 2 เป็นมุมสำหรับผู้ที่หลงไหลในโลกมอเตอร์สปอร์ต พร้อมกับลูกเล่นที่ให้ทุกคนสามารถออกแบบรถแข่งสามมิติด้วยตัวเองได้ นอกจากนี่้ยังมีมุมของ Toyota History ที่ให้ความรู้ถึงประวัติความเป็นมาของรถยนต์โตโยต้ารุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน ส่วนชั้น 3 เป็น The Style Auditorium เป็นEvent Hall ใช้จัดกิจกรรมต่างๆที่จะมีขึ้นทุกเดือน
ทั้งนี้โตโยต้าได้เปิดอาคารดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 ใจกลางสยามสแควร์ หวังให้เป็นสถานที่พบปะ เพิ่มสีสันเพื่อการเรียนรู้ผสานความบันเทิงในรูปแบบ “Edutainment” พร้อมข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวในด้านบันเทิง แฟชั่น ดนตรี กีฬา และศิลปะแขนงต่างๆ และยังเป็นสถานที่ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ ตลอดระยะเวลาในการดำเนินงานกว่า 4 ปี ได้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมภายในอาคารสูงถึง 1 ล้านคน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

Toyota Highlander พลิกโฉมตัวลุย-เสริมไฮบริด

พูดถึงชื่อไฮแลนเดอร์ ตลาดพวงมาลัยขวาอย่างบ้านเรา, ญี่ปุ่น และออสเตรเลียอาจจไม่คุ้นหูมากนัก แต่ถ้าบอกชื่อคลูเกอร์ หรือคลูเกอร์ วี หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะนี่คือผลผลิตเดียวกัน แต่เปลี่ยนชื่อเพื่อให้เกิดความแตกต่างในแต่ละตลาด
และในตอนนี้ ทางฝั่งอเมริกา ซึ่งขายด้วยชื่อไฮแลนเดอร์จัดการเดินตามรอยตลาดออสเตรเลียด้วยการปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดครั้งใหม่

คลูเกอร์ หรือไฮแลนเดอร์ เป็นเอสยูวีที่เน้นความอเนกประสงค์ด้วยตัวถังทรงกล่อง ซึ่งได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับรุ่นแฮร์ริเออร์และคัมรี่ โดยเปิดตัวรุ่นแรกในปี 2000 และมีการทำตลาดเรื่อยมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 2 และเปิดตัวขายในปี 2007

ในเวอร์ชันนี้มีความเปลี่ยนแปลง เพราะว่าตลาดญี่ปุ่นไม่ได้มีขาย แต่จะมีขายในออสเตรเลียกับชื่อคลูเกอร์ต่อไป ส่วนสหรัฐอเมริกาและแคนาดายังใช้ชื่อไฮแลนเดอร์เหมือนเดิม โดยมีการเพิ่มรุ่นไฮบริดเข้ามาเป็นอีกทางเลือก และงานออกแบบทั้งหมดเป็นหน้าที่ของศูนย์ออกแบบของโตโยต้า CALTY Research เมืองนิวพอร์ต บีช มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สำหรับไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ มีการเพิ่มความสดในทุกรายละเอียดรอบคัน โดยเฉพาะด้านหน้าซึ่งมีการเปลี่ยนไฟหน้า กระจังหน้า กันชนหน้า และฝากระโปรงหน้าใหม่ ส่วนด้านท้ายเปลี่ยนแค่รายละเอียดที่อยู่ในโคมไฟ โดยใช้หลอด LED ในการส่องสว่าง พร้อมล้อแม็กขนาด 17 นิ้วสำหรับรุ่นธรรมดา และ 19 นิ้วสำหรับรุ่นท็อป SEในห้องโดยสารเพิ่มความหรูหราด้วยเบาะหนัง และตอบรับกับความอเนกประสงค์ด้วยเบาะนั่งแบบ 3 แถว ซึ่งสามารถเลือกพับได้หลากหลายรูปแบบเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้ในการใช้สอย ขณะที่เวอร์ชันออสซี่ มีขายทั้งแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง และ 3 แถว 7 ที่นั่ง ในรุ่นธรรมดามาพร้อมกับทางเลือกของเครื่องยนต์ 2 แบบเป็นเบนซินล้วนๆ คือ 4 สูบในรหัส 1AR-FE บล็อกใหม่ 2,700 ซีซี พร้อมระบบ Dual VVT-I มีกำลังสูงสุด 187 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 25.7 กก.-ม. อีกรุ่นเป็นรหัส 2GR-FE แบบวี6 ทวินแคม 24 วาล์ว 3,500 ซีซี Dual VVT-I เช่นกัน มีกำลังสูงสุด 270 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 34.2 กก.-ม. ที่ 4,700 รอบ/นาที มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อตลอดเวลากับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ

อีกรุ่นเป็นแบบไฮบริด ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ วี6 3,300 ซีซีกับมอเตอร์ไฟฟ้าเค้นกำลังออกมารวมกันได้ 280 แรงม้า และในการขับเคลื่อน 4 ล้อหน้าที่ในการขับเคลื่อนล้อหลังก็เป็นงานของมอเตอร์ไฟฟ้าอีกตัวหนึ่ง หรือเรียกว่า Hybrid 4WD-I และสามารถขับในโหมดไฟฟ้า หรือ EV Mode ได้ในระยะทางสั้นๆ เหมือนกับรถยนต์ไฮบริดรุ่นอื่นๆ ของโตโยต้า

ในสหรัฐอเมริกา เริ่มทำตลาดมาตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 27,500 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 825,000 บาท ส่วนบ้านเราท่าทางจะมีให้สัมผัสกันยาก เพราะในญี่ปุ่นเลิกขายไปแล้ว ถ้าอยากจะขับกันจริงๆ คงต้องพึ่งการนำเข้าจากออสเตรเลียแทน
Toyota Highlander พลิกโฉมตัวลุย-เสริมไฮบริด
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

รายการบล็อกของฉัน