Toyota Yaris โตโยต้า ยาริสกับประวัติย่อๆ

โตโยต้า ยาริส (Toyota Yaris) เป็นชื่อของรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก ที่ท้ายสั้น มีขนาดเล็กกระทัดรัด ของโตโยต้า ซึ่งยาริส มีชื่ออีก 2 ชื่อ ที่ใช้เรียกในประเทศอื่นๆ คือชื่อ โตโยต้า วิตซ์ (Toyota Vitz) และ โตโยต้า เอโค (Toyota Echo)

โตโยต้า ยาริส ผลิตมาเพื่อทดแทนรถรุ่น โตโยต้า สตาร์เล็ต (Toyota Starlet) ซึ่งได้เลิกผลิตไป เมื่อปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) โดยก่อนหน้านี้ ในประเทศไทย สตาร์เล็ตเป็นรถรุ่นแรกๆ ที่มีขนาดเล็ก และมีโครงตัวถังแบบ hatchback (ท้ายกุด ไม่มีกระโปรงหลัง) ที่เข้ามาขายในประเทศไทย ซึ่งก็มีกระแสตอบรับมาบ้างในเรื่องของความประหยัดน้ำมัน และความกระทัดรัดขับง่าย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากคนไทยในช่วงนั้น ไม่ไว้วางใจในความปลอดภัยของรถรุ่นสตาร์เล็ต เพราะเกรงว่าผู้โดยสารที่นั่งหลังจะได้รับอันตรายได้ง่ายหากถูกชนท้าย จนเลิกผลิตไปในที่สุด

ปีเดียวกับที่สตาร์เล็ตเลิกผลิต ทางโตโยต้าก็ได้นำยาริสเข้ามาแทนที่ ด้วยการออกแบบโดย Sotiris Kovos นักออกแบบชาวกรีก ที่ทำให้ยาริสมีระบบความปลอดภัยที่ดีกว่า และดูทันสมัยขึ้น ทำให้ยาริสเป็นที่นิยม และมียอดขายดีกว่าสตาร์เล็ต

ยาริส เป็นรถรุ่นที่ใกล้เคียงและแข่งกับ ฮอนด้า แจ๊ซ เริ่มผลิตเมื่อ ค.ศ. 1999 และจนถึงปัจจุบัน แบ่งวิวัฒนาการเป็น 2 โฉม (Generation) คือ
Toyota Yaris โตโยต้า ยาริส โฉมที่ 1
โฉมแรกนี้ ไม่เป็นที่รู้จักในประเทศไทย ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) - ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) แต่ในประเทศญี่ปุ่น,ออสเตรเลียและแคนาดา ยาริสโฉมนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ไม่มีขายในสหรัฐอเมริกา เป็นรถที่มีความประหยัดน้ำมันสูง ขนาดเครื่องยนต์เล็กที่สุดเริ่มต้นเพียง 1000 ซีซี 50 แรงม้า (1SZ-FE) และเครื่องยนต์ที่แรงกว่าอีกหลายขนาดไปจนถึงเครื่องยนต์เทอร์โบ (I4) 150 แรงม้า

ในยุโรป ยาริสได้รับรางวัล European Car of the Year ประจำปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ด้วยเทคโนโลยีหัวฉีด VVT-i ยาริสเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบรถเล็กกระทัดรัดขับง่าย ประหยัดน้ำมัน แต่ในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบรถใหญ่ที่ดูภูมิฐานอย่างในสหรัฐอเมริกา ยาริสไม่มีขาย

ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ยาริสก้าวเข้าสู่เจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งโฉมนี้ เป็นที่รู้จักและนิยมในเมืองไทย
Toyota Yaris โตโยต้า ยาริส โฉมที่ 2
โฉมนี้ เป็นที่รู้จักในประเทศไทย ด้วยรูปแบบใหม่ที่ทันสมัยและใหญ่ขึ้นในหลายมิติ เริ่มผลิตตั้งแต่ ค.ศ. 2005(พ.ศ. 2548) มาจนถึงค.ศ. 2010(พ.ศ. 2553) การผลิตระบบเกียร์มี 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เครื่องยนต์ Toyota 1NZ-FE VVT-i 4 สูบ 1.5 L. 109 แรงม้า (80 กิโลว์ตต์ )ที่ 6,000 RPM แรงบิดที่ 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 RPM ประหยัดน้ำมันประมาณ 12.3 กิโลเมตรต่อลิตรในเมือง และ 15.3 กิโลเมตรต่อลิตรในชนบท และมีความแพร่หลายออกไปในหลายประเทศมากขึ้น เช่น ในประเทศไทย สหราชอาณาจักร และอีกหลายประเทศ ที่ไม่มียาริสรุ่นแรกขาย ก็มียาริสรุ่นที่สองออกขาย
Toyota Yaris โตโยต้า ยาริส โฉมที่ 3
ปัจจุบัน ยาริสรุ่นที่ 2 เริ่มจะเลิกผลิตในบางประเทศ โดยได้ปรับโฉมเป็นรุ่นที่ 3 เข้าแทนที่
ที่มาจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติโตโยต้า พริอุส

โตโยต้า พริอุส (Toyota Prius) เป็นรถยนต์นั่งขนาดกลาง ของค่ายรถยนต์โตโยต้า เป็นรถรุ่นแรกของโลกซึ่งนำระบบเครื่องยนต์ไฮบริดมาใช้ในเชิงพาณิชย์ (รถยนต์ไฮบริด คือ รถยนต์ที่ใช้ระบบไฟฟ้าแบตเตอรี่มาช่วยในการขับเคลื่อนในบางสถานการณ์ ทำให้รถยนต์ที่ใช้ระบบไฮบริดประหยัดน้ำมันได้ประมาณ 30-50%) เริ่มการผลิตครั้งแรกใน ค.ศ. 1997 จนถึงปัจจุบัน แบ่งวิวัฒนาการตามช่วงเวลาได้ 3 Generation
Toyota Prius รุ่นที่ 1 (ค.ศ. 1997 - 2003)
พริอุสรุ่นแรก เปิดตัวในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1997 มีตัวถังแบบเดียว คือ ซีดาน 4 ประตู ในช่วงก่อน ค.ศ. 2001 พริอุสใช้รหัส NHW10 มีขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น เท่านั้น ยกเว้นบริษัทนำเข้าอิสระในประเทศต่างๆ จำนำรถมือหนึ่ง และ รถมือสองที่ถูกใช้แล้ว ส่งออกมายังประเทศตนเองบ้างเล็กน้อย หลังจากนั้น พริอุสเปลี่ยนไปใช้รหัสตัวถัง NHW11 โตโยต้าได้ส่งออกไปขายนอกประเทศญี่ปุ่นโดยตรง (แต่ไม่เข้ามาขายโดยตรงในประเทศไทย)

พริอุสจะใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT เป็นมาตรฐาน มีอัตราการใช้น้ำมันที่ประหยัดมาก (17.5 - 17.9 กม./ลิตร ในการวิ่งปกติ) และได้รับการตัดสินจากองค์กร CARB (California Air Resources Board) ให้เป็นรถยนต์มลพิษต่ำพิเศษ (Super Ultra Low Emission Vehicle)
Toyota Prius รุ่นที่ 2 (ค.ศ. 2004 - 2009)

พริอุสรุ่นที่ 2 ใช้รหัส NHW20 ได้เปลี่ยนมาผลิตตัวถังแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตู (ท้ายกุด ไม่มีกระโปรงสั้น คล้าย ฮอนด้า แจ๊ซ, โตโยต้า ยาริส ฯลฯ) พริอุสได้รับออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น (19.2 - 20.4 กม./ลิตร ในการวิ่งปกติ)

ด้านความปลอดภัย มีองค์กรต่างๆ ได้ไปทำการ ทดสอบการชน กับรถพริอุส โดยมีผลการทดสอบอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีในรุ่นที่มีถุงลมนิรภัย Airbags รอบคัน แต่รุ่นที่ไม่มีถุงลมนิรภัย Airbags ในด้านข้าง มีผลการทดสอบที่ค่อนข้างไม่น่าพอใจ
Toyota Prius รุ่นที่ 3 (ค.ศ. 2010 - ปัจจุบัน)
พริอุสรุ่นที่ 3 ใช้รหัส ZVW30 ใช้ตัวถังแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตูตามเดิม เปิดตัวครั้งแรกในงาน North American International Auto Show 2009 ระหว่างวันที่ 11-25 มกราคม 2009 มีตัวถังใหญ่ขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันมากขึ้นอีก (20.4 - 21.7 กม./ลิตร ในการวิ่งปกติ)

ปัจจุบันบริษัทโตโยต้าประเทศไทย ได้นำพริอุสรุ่นที่3เข้ามาทำการเปิดสายการผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยอย่าง เป็นทางการแล้ว ถือเป็นโตโยต้าพริอุสรุ่นแรกที่ผลิตที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรุ่นแรกที่ จำหน่ายในประเทศไทย
ที่มาจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

New Toyota RAV4 EV Concept คาดว่าอีก 2 ปีมาแน่

ปี 1997 โตโยต้า เคยบุกตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า มาแล้วครั้งหนึ่ง และตอนนี้หน้าที่ของการทำตลาดคือ Toyotaเ อสยูวีรุ่น RAV4 แต่ด้วยเหตุที่มาเร็วไปหน่อย ก็เลยทำให้Toyota RAV4 EV กลายเป็นอดีตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับ รถยนต์ไฟฟ้าอีกรุ่นที่เปิดตัวขายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันอย่าง GM EV1
อย่างไรก็ตามตอนนี้ RAV4 EV กลับมาอีกครั้งภายใต้บริบทของตลาดที่รถยนต์พลังไฟฟ้ามีอนาคตที่สดใส โดยโตโยต้าได้พันธมิตรฝีมือดีอย่าง Tesla Motor มาช่วยในการคืนชีพToyota RAV4 EV โดยเปิดตัวในฐานะต้นแบบที่งานแอลเอ แต่จะมีการผลิตขายจริงอย่างแน่นอนปี 2012

ตรงนี้เป็นไปตามข้อตกลงที่โตโยต้าทำกับ Tesla ซึ่งฝ่ายหลังจะได้รับพื้นที่ของโรงงาน NUMMI ของโตโยต้าในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงเป็นไลน์ผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นที่ 2 ซึ่งก็คือ Model S ขณะที่โตโยต้าได้รับข้อแลกเปลี่ยนจากสัญญาที่เซ็นกันเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ทาง Tesla จะเข้ามามีเอี่ยวในการช่วยพัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้า ซึ่งก็คือ Toyota RAV4 EV ที่เห็นอยู่นี้
RAV4 EV ถูกปรับปรุงโดยอยู่บนพื้นฐานของเอสยูวีไซส์คอมแพ็กต์รุ่น RAV4 รุ่นปัจจุบัน ซึ่งทางโตโยต้ารับหน้าที่ในรื่องของการพัฒนาพื้นฐานทางวิศวกรรมของตัวรถผ่านทางศูนย์ Toyota Motor Engineering and Manufacturing North America (TEMA) ที่ตั้งอยู่ในมลรัฐมิชิแกน ขณะที่ Tesla ดูแลงานส่วนที่ตัวเองถนัด นั่นคือ การพัฒนาและปรับปรุงรายละเอียดเกี่ยวกับการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี EV

การพัฒนายังอ้างอิงอยู่บนพื้นฐานความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่ง RAV4 EV ถูกติดตั้งระบบพลังไฟฟ้าเข้าไปในตัวรถ โดยใช้แบตเตอรี่แบบใหม่ที่เรียกว่า Lithium Metal Oxide ที่มีประสิทธิภาพในการเก็บกระแสไฟฟ้าดีขึ้น ในขณะที่ขนาดโดยรวมของแพ็คแบตเตอรี่ไม่ใหญ่มานัก
แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางด้านเทคนิค แต่โตโยต้าบอกว่ามีกำลังอยู่ที่ 30 kwh ซึ่งมากพอที่จะฉุดลากตัวถังของ RAV4 ให้มีอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในระดับใกล้เคียงกับ RAV4 ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบวี6

ขณะเดียวกันในเรื่องของน้ำหนักตัวรถเพิ่มขึ้นจาก RAV4 ที่ใช้เครื่องยนต์วี6 เพียง 220 ปอนด์ หรือ 100 กิโลกรัม ขณะที่ระยะทางการขับต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 100 ไมล์ หรือ 160 กิโลเมตร ถือว่าเป็นตัวเลขตอบสนองการขับเคลื่อนได้ดีในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้

สำหรับสถานที่ในการประกอบตัวรถในขั้นสุดท้ายยังไม่มีการระบุอย่างแน่ชัด โดยทางโตโยต้าจะผลิตตัวถังของ RAV4 EV ที่โรงงานในเมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา และ Tesla จะผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ที่โรงงานของตัวเองใน Palo Alto มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

แต่ที่แน่ๆ โตโยต้าจะผลิตตัวต้นแบบออกมาจำนวน 35 คันสำหรับใช้ในการแล่นทดสอบเพื่อเก็บข้อมูล ก่อนวางตลาดภายในปี 2012

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ปลายปีหน้าลุ้น Toyota New Yaris โฉมใหม่


ปลายปีหน้าลุ้น Toyota New Yaris โฉมใหม่ ตอนแรกนึกว่าปี 2010 จะจบลงแบบไม่มีอะไรให้ติดตามต่อในช่วงปลายปี แต่สุดท้ายโตโยต้าทิ้งใบเด็ดสร้างกระแสก่อนรับปีใหม่ ด้วยการเผยโฉมเจนเนอเรชันที่ 3 ของซับคอมแพ็กต์ยอดนิยมอย่างยาริส/วิตซ์ออกมาแล้ว สดใหม่ในทุกรายละเอียด และพร้อมลุยตลาดญี่ปุ่นเป็นแห่งแรก ก่อนทยอยเปลี่ยนโฉมตามตลาดแห่งต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งก็รวมถึงเมืองไทย

ยาริสเป็นผลผลิตที่โตโยต้าเผยโฉมออกมาในปี 1999 โดยตอนแรกมุ่งเน้นเจาะตลาดรถเล็กในยุโรป ก่อนที่จะกลายเป็นรถยนต์รุ่นหลักในการเข้าทำตลาดหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงเมืองไทยที่มีโอกาสสัมผัสกับยาริสกับรุ่นเจนเนอเรชันที่ 2 ส่วนรุ่นใหม่นี้เป็นสายพันธุ์ที่ 3 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ ในตลาดญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา
ตัวถังที่เผยโฉมมีแค่แบบเดียวคือแฮทช์แบ็ก 5 ประตู แต่เชื่อว่าตลาดยุโรปน่าจะมีทางเลือกแบบ 3 ประตูด้วย ส่วนเวอร์ชัน 4 ประตูที่บ้านเราขายด้วยชื่อวีออส คงจะต้องรออีกสักระยะ น่าจะเป็นช่วงกลาง หรือไม่ก็ปลายปี 2011 เพราะต้องรอดูท่าทีจากตลาดจีน

ในแง่ของมิติตัวถังคงความกะทรัดและความคล่องตัวด้วยตัวเลขความยาว 3,885 มิลลิเมตรในรุ่นปกติ แต่ถ้าเป็นรุ่นแต่งสปอร์ตรหัส RS จะยาวขึ้นมาเป็น 3,930 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างอยู่ที่ 1,695 มิลลิเมตร ความสูง 1,500 และ 1,530 มิลลิเมตรสำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และ 4 ล้อตามลำดับ ส่วนรหัสตัวถังคือ SP130
สัมผัสแรกกับรูปลักษณ์ภายนอกจะพบได้กับความเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปลักษณ์ที่หันมาเน้นสันเหลี่ยมรอบคัน โดยเฉพาะแนวเส้นสันไหล่ด้านข้างของตัวรถที่เฉียบคมขึ้น ทำให้ดูแล้วมีความแข็งแกร่งและสปอร์ตขึ้น ขณะที่ภายในห้องโดยสาร การใช้ชุดมาตรวัดรอบเครื่องยนต์และความเร็วแบบวางไว้ตรงกลางของแผงหน้าปัด ซึ่งใช้มาโดยตลอดทั้ง 2 รุ่นก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบปกติเหมือนกับรถยนต์ทั่วโลก โดยวางอยู่ด้านหลังพวงมาลัย

เครื่องยนต์ที่ขายในญี่ปุ่นมีแต่แบบเบนซิน แต่มีให้เลือก 3 แบบ คือ รหัส 1KR-FE แบบ 3 สูบ ทวินแคม 12 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT-i 1,000 ซีซี รีดกำลังออกมาได้ 69 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 9.4 กก.-ม. ที่ 3,600 รอบ/นาที
ตามด้วยรหัส 1NR-FE 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว แบบ Dual VVT-i 1,300 ซีซี 95 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 121.3 กก.-ม. ที่12.3 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาทีสำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และ 12.1 กก.-ม.ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ปิดท้ายด้วยรุ่นท็อปรหัส 1NZ-FE แบบ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว VVT-i 1,500 ซีซี 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.1 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ทุกรุ่นจับคู่กับเกียร์อัตโนมัตอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT

นอกจากนั้นรุ่น 1NR-FE ยังเพิ่มความพิเศษด้วยการติดตั้งระบบที่เรียกว่า Smart Stop ซึ่งเป็นการนำแนวคิดของการลดความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่สภาพแวดล้อม โดยจะทำการดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่ อีกทั้งยังติดตั้งปุ่มเพื่อปลดการทำงานของระบบได้ด้วยหากผู้ขับบางคนอาจจะไม่อยากใช้ระบบนี้ ส่วนในแง่ความประหยัดแล้ว ในรุ่นที่ใช้ระบบนี้จะมีความประหยัดถึง 26.5 กิโลเมตร/ลิตรตามการทดสอบในโหมด 10-15 ของญี่ปุ่น ส่วนรุ่นธรรมดามีความสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยที่ 18-23 กิโลเมตร/ลิตร

สำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ติดตั้งในวิตซ์/ยาริสรุ่นนี้ เช่น ระบบควบคุมการทรงตัวและป้องกันการลื่นไถล หรือ VSC/TRC ไฟหน้าแบบเปิด-ปิดอัตโนมัติเมื่อขับเข้าที่มืด เช่น อุโมงค์ ถุงลมนิรภัยที่ติดตั้งมาครบครันทั้งคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย

บุกตลาดญี่ปุ่นแล้ว กับราคา 1,060,000-1,790,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 390,000-662,000 บาท ส่วนบ้านเราน่าจะต้องรออีกสักระยะ อย่างเร็วน่าจะเป็นช่วงปลายปี 2011
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

Toyota New Yaris โมเดลเชนจ์ปี 2011หรืออีกชื่อ toyota Vitz

Toyota New Yaris โมเดลเชนจ์ปี 2011หรืออีกชื่อ toyota Vitz ใหม่ Toyota Yaris โมเดลเชนจ์ปี 2011 ชูระบบกรอง UV 99% ประหยัดน้ำมันที่ 26.5 กม/ลิตร วันนี้ (22 ธค.2553) Toyota ประเทศญี่ปุ่นได้เปิดตัว Vitz หรือ Yaris โมเดลเชนจ์รุ่นปี 2011 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยชูฟังค์ชั่นประหยัดน้ำมัน Idling Stop Function ที่ทำให้ได้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ 26.5 กิโลเมตร/ลิตร Vitz หรือใช้ชื่อว่า Yaris ในการทำคตลาดที่ประเทศไทย มีจำหน่ายใน 70 ประเทศทั่วโลก โดย Yaris รุ่นนี้ถือว่าเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ที่ได้ถูกออกแบบมาภายใต้แนวคิดของความกระฉับกระเฉงพร้อมด้วยคุณภาพและสุนทรียภาพในการขับขี่ ในขณะที่ภายในห้องโดยสารมีความยาวมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนถึง 35 มิลลิเมตร คือมีความยาวทั้งสิ้น 3,885 มิลลิเมตร จากการใช้โครงสร้างของที่นั่งด้านหน้าแบบใหม่ทำให้เกิดพื้นที่วางขาของที่นั่งด้านหลังเพิ่มขึ้น 35 มิลลิเมตร ที่นั่งคนขับสามารถปรับระดับในแนวตั้งได้ถึง 60 มิลลิเมตร(จากทั่วไปที่ 15 มิลลิเมตร) ในขณะที่แนวนอนสามารถทำได้ที่ 10 มิลลิเมตรใน 24 สเต็ป(เมื่อเปรียบเทียบกับแบบเดิมที่ 8 มิลลิเมตร) ส่วนความกว้างของตัวรถอยู่ที่ 1,695 มิลลิเมตร และมีความสูง 1,500 มิลลิเมตร(2WD) หรือ 1,530 มิลลิเมตร(4WD)
จุดเด่นสำคัญของ Yaris/Vitz เจนเนอเรชั่นนี้ก็คือ การใช้กระจกที่นั่งด้านหน้าที่เรียกว่า 99% Super-Ultraviolet ซึ่งสามารถกรองแสงอุลตร้าไวโอเล็ตได้ถึง 99% ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับรถยนต์ นอกจากนั้นกระจกหน้ามีการติดตั้งที่ปัดน้ำฝนแบบชิ้นเดียวเพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการปิดไฟอัตโนมัติและเปิดไฟหน้าตามความสว่างของแสงภายนอกตัวรถ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของรถรุ่นนี้ก็คือ การนำเอาระบบ Idle Stop มาใช้ในการประหยัดน้ำมันที่เรียกว่า “SMART STOP”(เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 1.3 ลิตร 2WD) ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ที่ช่วยทำให้ Yaris รุ่นเครื่องยนต์ 1.3 ลิตร 2WD กลายเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุดในรถระดับเดียวกันที่ 26.5 กิโลเมตร/ลิตร โดยระบบนี้จะหยุดการทำงานของเครื่องยนต์เมื่อเข้าเกียร์ว่างและจะติดเครื่องอีกครั้งภายในเวลา 0.35 วินาทีเมื่อมีการเข้าเกียร์เพื่อออกตัว

เครื่องยนต์ที่ใช้มีรายละเอียดดังนี้

เครื่องยนต์รุ่น 1KR FE สำหรับความจุกระบอกสูบ 1.0 ลิตร (996 ซีซี) ให้กำลัง 69 แรงม้า PS ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 92 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบ/นาที

เครื่องยนต์รุ่น 1NR FE ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ ความจุกระบอกสูบ 1.3 ลิตร (1,329 ซีซี) ให้กำลัง 95 แรงม้า PS ที่ 6,000 รอบ/นาที สำหรับรุ่น 4WD ให้แรงบิดสูงสุด 119 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่วนรุ่น 2WD ให้แรงบิดสูงสุด 121 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที
เครื่องยนต์รุ่น 1NZ FE ความจุกระบอกสูบ 1.5 ลิตร (1,496 ซีซี) ให้กำลัง 109 แรงม้า PS ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบ/นาที

สำหรับระบบส่งกำลังเป็นแบบ Dual VVT-i, Super CVT-i 2WD และ Super CVT-i 4WD ในขณะที่อัตราการปล่อยไอพิษต่ำกว่ามาตรฐานของปี 2005 ถึง 75%

ในเรื่องระบบความปลอดภัย Toyota ได้ทำการติดตั้งระบบเบรค ABS และระบบกระจายแรงเบรคอิเล็กทรอนิกส์ EBD ตามมาตรฐานระบบช่วยเบรคสำหรับ Yaris/Vitz ทุกรุ่น ส่วนที่นั่งคนขับและผู้โดยสารมีการติดตั้งถุงลมนิรภัย SRS สำหรับทุกรุ่นย่อยด้วยเช่นกัน

ราคาจำหน่ายของ All-New Toyota Yaris/Vitz รุ่นปี 2011 นี้เริ่มต้นที่ 1,060,000 ไปจนถึง 1,790,000 เยน โดย Toyota ตั้งเป้าไว้ที่ 10,000 คันในช่วงแรกครับ
ที่มา: Toyota,autospinn

โตโยต้าขาย “เอติออส”3 แสนกว่าบาท

ลุยอินเดีย! โตโยต้าขาย “เอติออส”3 แสนกว่าบาท หลังสร้างความฮือฮาและความสนใจเป็นวงกว้างรวมถึงในเมืองไทย ตอนนี้โตโยต้าเผยแล้วว่าจะส่งเอติออส (Etios) ลงขายในตลาดอินเดีย โดยมีราคาเริ่มต้นประมาณ 496,000 รูปี หรือกว่า 330,000 บาท แต่ครั้งนี้ทำตลาดเฉพาะตัวถังซีดาน 4 ประตูเท่านั้น ใครที่อยากขับรุ่น 5 ประตูแบบแฮตช์แบ็กที่มีชื่อต่อท้ายว่า Liva ต้องรอจนถึงเดือนเมษายน 2011
ในรุ่นขายจริงของเอติออส ถูกส่งลงตลาดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา และจะเริ่มส่งมอบรถคันแรกให้กับลูกค้าในอินเดียได้ในเดือนมกราคม 2011 โดยตัวรถมีรายละเอียดทั้งภายนอกและภายในที่ถูกปรับปรุงจากเวอร์ชันต้นแบบที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2010 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยในรุ่นซีดาน 4 ประตูมีความยาว 4,265 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,510 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร มีขายด้วยกัน 6 สี และ 5 รุ่นตกแต่ง คือ J, G, G Safety, V และ VX ที่เป็นรุ่นท็อป

โตโยต้าตั้งเป้ายอดขายในปีแรกของเอติออสเอาไว้ที่ 50,000 คันจากกำลังการผลิต 70,000 คัน และหวังส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ราคาประหยัดจากคู่ปรับอย่างฮุนได แอคเซนต์, มารูติ ซูซูกิ ดีไซร์, ทาทา แมนซ่าไว้ที่ 10%
ทุกรุ่นตกแต่งจะมากับเครื่องยนต์เดียวแบบเบนซิน 4 สูบ 1,500 ซีซี ในรหัส 2NR-FE มีกำลังสูงสุด 90 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.4 กก.-ม.ที่ 3,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และมีน้ำหนักตัวเพียง 930 กิโลกรัมเท่านั้น และใช้ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม ดิสก์หน้าและดรัมหลัง โดยที่อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงถ้าเป็นการขับในเมืองอยู่ที่ 13.5 กิโลเมตร/ลิตร และนอกเมือง 17.6 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนถังน้ำมันมีความจุ 45 ลิตร

สำหรับอุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีการติดตั้งในรุ่น Safety ขึ้นไปนั้นมีทั้งเอบีเอส และระบบกระจายแรงเบรกควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EBD รวมถึงระบบแจ้งเตือนหากผู้ขับไม่คาดเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัยคู่หน้า ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ติดตั้งก็มีทั้งกุญแจแบบ Immobilizer และระบบ Keyless ราคาขายของเอติออสในอินเดียอยู่ระหว่าง 496,330-682,519 รูปี หรือ 332,000-456,000 บาท
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

New Toyota กับเทคโนโลยี่ใหม่กับToyota New Prius

New Toyota กับเทคโนโลยี่ใหม่กับToyota New Prius

นี่คือทีเด็ดของ Toyota Prius เจนเนอเรชั่นที่ 3 ของรถยนต์ลูกผสม เครื่องยนต์เบนซินบวกมอเตอร์ไฟฟ้า กับการปฏิวัติรูปแบบของการขับขี่ในอนาคตบนถนนของเมืองไทย...
รถ Prius เวอร์ชั่นที่ 3 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดนี้ ถูกวางขายในยุโรปและอเมริกามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2009 แล้ว การที่มันเป็นรถยนต์เครื่องยนต์ลูกผสมแบบ Hybrid ที่วางจำหน่ายเป็นโมเดลแรกสุดบนโลกแห่งยนตกรรมทำให้มันกลายเป็นรถยนต์ที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการอนุรักษ์พลังงานและการลดการปลดปล่อยมลภาวะ บนเส้นทางที่มีการต่อสู้แข่งขันกันอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ รถ Toyota Prius ตั้งแต่โมเดลแรกสุดจนถึงรุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังทำตลาดอยู่ในเมืองไทยต้องใช้เวลานานหลายปี กว่าจะได้รับการยอมรับทั้งจากสื่อสารมวลชนสายรถยนต์และผู้ที่นิยมใช้รถยนต์ประหยัดพลังงานแบบ Hybrid ซึ่งการผลิต Prius ในโมเดลแรกนั้น บริษัท Toyota ต้องแบกรับภาระการขาดทุนทั้งค่าวิจัย ค่าโฆษณารวมถึงราคาที่สูงมากของแบตเตอร์รีในยุคแรกสุดที่ Prius เริ่มออกทดลองวิ่งจนกระทั่งวางขาย
Toyota New Prius 2010 ปัจจุบันนี้รถ Prius รุ่นล่าสุดสามารถทำกำไรให้กับค่ายสามห่วงจากยอดการผลิตต่อปีที่ 280,000 คัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด 12 ปีตั้งแต่โมเดลแรกสุดจนถึงปัจจุบัน บริษัท Toyota ทำการขายเจ้า Prius ไปแล้วกว่า 1.2 ล้านคัน ด้วยความเชี่ยวชาญในการสร้างรถยนต์เครื่องยนต์ลูกผสมเบนซิน-มอเตอร์ไฟฟ้า หลังจากเปิดตัวในเมืองไทยไปเมื่อเร็วๆนี้ กระแสตอบรับในเรื่องของราคาและสมรรถนะที่โดนใจแฟนๆค่ายนี้ไปแบบเต็มๆทำให้มันล้ำหน้าค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมันที่ยังไม่สามารถไล่ตาม Toyota ได้ทันจากการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานแบบ Hybrid ความชำนาญที่เกิดจากการตั้งใจพัฒนาและค้นคว้าระบบเครื่องยนต์ลูกผสมเชื้อเพลิง-มอเตอร์ไฟฟ้าของบริษัท Toyota มีมานานกว่า 20 ปีแล้ว ในรถรุ่นล่าสุดอย่าง Prius เวอร์ชั่นที่ 3 นี้ คือการผสมผสานกันทั้งระบบปั่นไฟฟ้ากลับหรือ Regenerative Braking การสลับไปใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์ในบางช่วงที่รอบเครื่องไม่สูงมากนัก วิศวกรของ Toyota พยายามคิดค้นให้ระบบทั้งหมดทำงานร่วมกันจนได้ประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่เพียงแค่นำเอามอเตอร์ไฟฟ้าพลังสูงไปติดไว้กับเครื่องยนต์เท่านั้น เครื่องยนต์ของรถ Prius ยังเป็นเครื่องยนต์ที่มีเทคโนโลยีแบบ Atkinson Cycle ซึ่งโดดเด่นในเรื่องของอัตราเผาไหม้ที่มีการขยายตัวที่สูงหรือ High Expansion เพื่อทำให้จังหวะอัดของเครื่องยนต์มีช่วงเวลาที่สั้นกว่าจังหวะของการระเบิด

วิศวกรในแผนกเครื่องยนต์ของค่ายสามห่วงทำการคิดค้นเครื่องยนต์ที่มีระบบการทำงานในอัตราส่วนของกำลังอัดที่เพิ่มขึ้นตามด้วยแรงม้ากับแรงบิดที่สูงขึ้นแต่มีปริมาตรความจุลดลงทำให้มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลง เครื่องยนต์ชนิดนี้มีจังหวะการทำงานของกระบอกสูบด้วยการออกแบบให้ลูกสูบที่อยู่ในตำแหน่งอัดสามารถเลื่อนจากจุดต่ำสุดของกระบอกสูบขึ้นสู่จุดสูงสุด ด้วยระยะที่สั้นลงกว่าเดิมด้วยการทำงานที่สั้นลงเครื่องยนต์จึงสามารถสร้างกำลังจากจังหวะอัดที่มีความต่อเนื่องไปยังจังหวะระเบิดได้เร็วขึ้น เครื่องยนต์ดังกล่าวเรียกว่า Atkinson Cycle ซึ่งแผนกค้นคว้าและวิจัยเครื่องยนต์ของ Toyota พยายามต่อยอดระบบการทำงานแบบเดิมๆของเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิ์ภาพมากขึ้นด้วยการพัฒนาให้ช่วงชักขึ้นของลูกสูบสั้นลงด้วยการเพิ่มกลไกระหว่างก้านสูบกับเพลาข้อเหวี่ยง ผลลัพธ์ที่ได้คืออัตราส่วนกำลังอัดเพิ่มขึ้นตามมาด้วยตัวแปรในค่าของแรงม้ากับแรงบิดที่สูงขึ้น หลังจากทดสอบจนมั่นใจในระบบการทำงานที่ดีขึ้นทั้งในเรื่องของอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ลดลง ความแข็งแกร่งทนทานของลูกสูบในกระบอกสูบดีเทียบเท่าเครื่องยนต์แบบปกติรวมถึงแรงบิดที่เพิ่มขึ้นทำให้เครื่องยนต์เบนซินแบบ Atkinson Cycle ถูกวางลงไปในรถ Toyota New Prius เพื่อทำงานประสานไปกับระบบมอเตอร์ไฟฟ้าโดยมุ่งเน้นไปที่การประหยัดเชื้อเพลิง

การจะทำเช่นนั้นได้ เครื่องยนต์จะปิดวาล์วไอดีช้ากว่าปกติในจังหวะอัด ทำให้ส่วนผสมของอากาศและน้ำมันในบางส่วนถูกดันย้อนกลับมาที่ท่อไอดี แม้จังหวะอัดจะไม่เต็มที่นักแต่ในจังหวะระเบิดจะมีการเผาไหม้และให้กำลังเหมือนปกติทุกอย่าง จุดประสงค์เพื่อทำให้แรงดันภายในกระบอกสูบเท่ากับความดันของบรรยากาศภายนอกเมื่อจังหวะระเบิดสิ้นสุดลง เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำมันทุกอณูที่เข้าสู่ห้องเผาไหม้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานอย่างหมดจด ในเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะทั่วๆไป แรงดันส่วนหนึ่งจะถูกขับออกไปตามวาล์วของระบบไอดีและไอเสียทำให้เสียพลังงานไปโดยไม่จำเป็น ระบบ Atkinson Cycle จะทำให้เครื่องยนต์ใช้เชื้อเพลิงทุกหยดอย่างคุ้มค่า แต่มันมีการตอบสนองไม่ดีเท่าเครื่องยนต์ทั่วไป ดังนั้นมันจึงถูกจับคู่กันกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้แรงบิดสูงเพื่อชดเชยด้านอัตราเร่ง เมื่อทั้งสองระบบทำงานพร้อมกันก็จะได้ทั้งปริมาณการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ลดลงและอัตราเร่งที่ดีขึ้น เจ้า Prius ใหม่นี้วิศวกรของ Toyota นำเอาเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตรจากรถรุ่นอื่นมาพัฒนาต่อยอด แรงบิดที่เพิ่มขึ้นทำให้มันมีอัตราเร่งที่นิ่มนวลมากโดยไม่ต้องคิกดาวน์แต่อย่างใดทั้งสิ้น หน่วยควบคุมพลังงานระบบ Direct Cooling ใหม่ช่วยทำให้หม้อแปลงเล็กลงและมีน้ำหนักที่เบาลง รวมถึง Power Split Device (PSD) มีชุดเฟืองเกียร์แบ่งกำลังซึ่งเฟืองตัวกลางจะถูกขับโดยสตาร์ทเตอร์และไดชาร์จ เฟืองตัวรองขับโดยเครื่องยนต์และเฟืองวงแหวนรอบนอกขับโดยมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ส่งกำลังไปยังล้อขับเคลื่อนคู่หน้าอีกด้วย

Nickel Metal Hydride In Prius Power Split Device (PSD) ซึ่งใช้ชุดเฟืองเกียร์ทดเพื่อแบ่งกำลังระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มีการเพิ่มชุดเฟืองเกียร์เข้ามาเสริมอีกหนึ่งชุดนั้นเพื่อช่วยในการผ่อนภาระการหมุนของมอเตอร์ไฟฟ้า ตัวมอเตอร์เองถูกออกแบบให้มีขนาดที่เล็กลงและใช้ชิ้นส่วนภายในที่มีน้ำหนักเบาเพื่อทำให่้มีแรงต้านการหมุนน้อยที่สุด หม้อแปลงไฟฟ้าที่มีความร้อนสูงในระหว่างการทำงานจะระบายความร้อนด้วยระบบ Direct Cooling ดังที่กล่าวมาแล้ว มันใช้แผ่นระบายความร้อนเป็นแผ่นโลหะขนาดใหญ่ ตัวหม้อแปลงเองก็มีความเบากว่าของรถรุ่นเก่าถึง 1 ใน 3 บริษัท Toyota ยังคงใช้แบตเตอร์รีแบบ Nickel Metal Hydride และไม่ยอมปรับเปลี่ยนไปใช้แบตเตอร์รีแบบ Lithium-Ion เหมือนกับค่ายรถอื่นๆเนื่องจากมันสามารถรองรับสภาพอากาศที่แตกต่างกันแบบสุดข้ัวได้ดีเท่าๆกับแบตเตอร์รีแบบ Lithium-Ion ที่มีราคาสูงกว่า แบตเตอร์รีของเจ้า Prius ใหม่นี้มีขนาด-น้ำหนักและการให้กำลังไฟที่ดีขึ้นด้วยระบบระบายความร้อน จึงให้กำลังได้มากถึง 27 กิโลวัตต์ มากขึ้นกว่าเดิม 2 วัตต์

Toyota New Prius 2010 การใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นความคิดที่มีมานานแล้วในแผนกเครื่องยนต์ของบริษัท Toyota ผู้อำนวยการแผนกวิจัยระบบขับเคลื่อนของค่ายสามห่วง Gerald Kilman กล่าวว่า การลดปริมาตรความจุของกระบอกสูบเพื่อทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันน้อยลงเป็นวิถีทางของค่ายรถยนต์ทั่วๆไป แต่บริษัท Toyota เลือกวิธีที่จะประหยัดเชื้อเพลิงด้วยการใช้เครื่องยนต์ระบบ  Atkinson Cycle แทน การที่รถ Prius มีแรงบิดที่สูงขึ้นทำให้สามารถลดรอบเครื่องยนต์ในระหว่างการเดินทางลงได้ถึง 300 รอบต่อนาทีเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์รุ่นเดิม ลดภาระของเครื่องยนต์และลดการใช้พลังงานได้เป็นอย่างดี ไม่่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนวิกฤตการณ์ของพลังงานในครั้งนี้ รถ Prius คือเทคโนโลยีใหม่ในการขับเคลื่อนบนถนนของเมืองไทยที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจากวิศวกรของ Toyota และมันเหมาะสมมากกับการใช้งานในการเคลื่อนที่เดินทางในขณะที่ราคาของเชื้อเพลิงพุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง.
ที่มา thairath

โตโยต้าเจียด8,000ล้านเพิ่มกำลังการผลิต"วีโก้-ฟอร์จูนเนอร์"

“โตโยต้า” ประกาศเพิ่มเงินลงทุนอีก 8,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตรถยนต์ที่โรงงานบ้านโพธิ์ และเครื่องยนต์ดีเซล ภายใต้โครงการ ไอเอ็มวี
เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า โตโยต้าจะขยายกำลังการผลิตรถกระบะ และรถอเนกประสงค์ในโครงการ IMV ที่โรงงานประกอบรถยนต์ โตโยต้า บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั่วโลก พร้อมกันนี้ บริษัท สยาม โตโยต้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (STM) จะขยายกำลังการผลิตเครื่องยนต์ดีเซลในโครงการ IMV จาก 220,000 เครื่องเป็น 330,000 เครื่องต่อปี รวมมูลค่าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้จำนวนทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท

“จากการตอบรับอย่างดียิ่งของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่มีต่อรถกระบะ ไฮลักซ์ วีโก้ และ รถอเนกประสงค์ ฟอร์จูนเนอร์ ภายใต้โครงการ ไอเอ็มวี ตลอดระยะเวลากว่า 6 ปีที่ผ่านมา แสดงถึงความไว้วางใจของลูกค้าทั่วโลกที่มีต่อรถรุ่นสำคัญดังกล่าว ในขณะที่ความต้องการของลูกค้ามีแนวโน้มขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จึงได้วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานประกอบรถยนต์บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา จาก 140,000 คัน ในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นเป็น 220,000 คันต่อปี โดยจะเริ่มขยายกำลังการผลิตในเดือนสิงหาคม 2554 เป็นต้นไป”
สำหรับโรงงานประกอบรถยนต์ โตโยต้าบ้านโพธิ์ ตั้งอยู่ที่ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา เริ่มดำเนินการผลิตในปี พ.ศ.2550 ปัจจุบันเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ที่ทันสมัยที่สุด ของเครือข่ายการผลิตรถยนต์ โตโยต้าในประเทศไทย และยังเป็นต้นแบบของโรงงานแห่งความยั่งยืน (Sustainable plant) การขยายกำลังการผลิตในครั้งนี้ส่งผลให้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มีกำลังการผลิตรวม(สำโรง,เกตเวย์)ทั้งสิ้น 650,000 คันต่อปี

อนึ่งโครงการ ไอเอ็มวี (IMV)มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Innovative International Multi-purpose Vehicle” ปัจจุบันทำการผลิตอยู่ใน 11 ประเทศในภูมิภาค เอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกาใต้ มีจำหน่ายอยู่ใน 140 ประเทศทั่วโลก โดยมีประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่สุดและสามารถทำสถิติการส่งออกครบ 1 ล้านคันไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

Toyota Etios มีแผนมาไทย เดาใจบริษัทฯ ส่ง Etios Liva เบียด BRIO และ March?

ต่อจากข่าวการเปิดตัว Toyota Etios Liva รถแฮทช์แบ็คขนาดเล็ก 5 ประตู ที่มีคุณสมบัติตรงตามสเปคอีโคคาร์เมืองไทยที่จะเริ่มจำหน่ายในเดือนเมษายนที่ประเทศอินเดีย ดูเหมือนว่า Toyota มีแนวโน้มในการส่ง Etios เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยตามแผนในการเจาะตลาดประเทศเศรษฐกิจใหม่อย่างจีน บราซิล ไทย และประเทศแถบอเมริกาใต้ ซึ่งในการเปิดตัว Etios ในวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ประธานของบริษัท Toyota นาย Akio Toyoda เผยว่าอินเดียเป็นตลาดใหญ่ที่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญต่อการเติบโตของบริษัทฯโดยรวมในเชิงกลยุทธ์ และการเปิดตัว Etios ไม่เพียงแต่เป็นย่างก้าวที่สำคัญในอินเดียเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นย่างก้าวที่สำคัญของบริษัทฯในการเจาะตลาดโลกด้วยรถในเซกเมนต์นี้ด้วยเช่นกัน
ทาง Toyota ได้ทำการทดสอบ Etios ในสภาพถนนต่างๆทั่วอินเดียเป็นระยะทางรวมหลายแสนกิโลเมตร เพื่อให้มั่นใจว่ารถรุ่นนี้สามารถรองรับการใช้งานได้ในทุกสภาพทั่วโลก โดยตัวรถมีความยาว 4.265 เมตร มีปริมาตรความจุสัมภาระที่ 595 ลิตร ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร ผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด โดยมี 4 รุ่นให้เลือกคือ J, G, V และ VX ในราคาเริ่มต้ที่ 4.96 แสนรูปีไปจนถึง 6.86 รูปี
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่าน Toyota ทำยอดขายรวมที่ประเทศอินเดียจนถึงเดือนตุลาคมที่ 60,000 คัน ถือว่ายังห่างเจ้าตลาดอย่าง Marutti Suzuki ที่ขายไปแล้วถึง 870,000 คัน
การที่ Toyota มีแผนในการส่ง Etios เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า Etios Liva จะเป็นตัวเลือกแรกเพราะมีคุณสมบัติตรงตามสเปคอีโคาร์ด้วยเครื่องยนต์ขนาดความจุกระบอกสูบ 1,200 ซีซี ประกอบกับการที่ Nissan March ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ยอดขายที่ผ่านมา 10 เดือนที่จำนวน 25,000 คัน เป็นตลาดใหญ่สำหรับอีโคคาร์แฮทช์แบ็คเกินกว่าที่ Toyota จะนิ่งเฉยได้ และการปล่อยให้ Honda BRIO เข้ามาแบ่งเค้กทางการตลาดด้วย ยิ่งต้องทำให้ Toyota ต้องรีบทำอะไรเร็วกว่าที่คิดไว้ ฉะนั้นถ้าเป็นไปตามแผนของ Toyota เราน่าจะได้เห็นการเปิดตัว Etios Liva ในกลางปีหน้าเป็นอย่างเร็ว?!

ที่มา: Toyota,autospinn

Toyota เตรียมส่ง Etios Liva สกัด Honda BRIO และ Nissan March ที่เมืองไทยปีหน้า?!

Honda BRIO เพิ่งเปิดตัวรถอีโคคาร์ต้นแบบในเมืองไทยไปเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่สวรรค์ก็ส่ง Toyota Etios Liva มาเตรียมสกัดดาวรุ่งอย่าง BRIO ที่อินเดีย และมีสิทธิ์เตะตัดขาดาวจรัสแสงที่เมืองไทยอย่าง Nissan March ที่ทำยอดขายไปแล้วทั้งสิ้น 25,000 คัน แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยการทำตลาดในประเทศไทยในขณะนี้ แต่ชัดเจนแล้วว่า Toyota พร้อมจำหน่าย Etios Liva อีโคคาร์ทรงแฮทช์ที่ประเทศอินเดียในเดือนเมษายนปีหน้าตามการรายงานข่าวจาก briothai.com

จากรายงานของนิตยสาร Autocar India เผยว่า Toyota ได้ตั้งชื่อซับแบรนด์หรือชื่อรุ่นย่อยของ Etios แล้วซึ่งก็คือ Liva เพื่อสร้างความแตกต่างให้ชัดเจนระหว่าง Etios Sedan และ Hatchback และจากแผนเดิมที่เตรียมจะเปิดตัว Etios Sedan ในวันที่ 1 ธันวาคมที่บังกาลอร์แต่เปลี่ยนแผนเดินหน้าเปิดตัวทั้ง Etios และ Etios Liva ซึ่งในตลาดอินเดีย Toyota หวังที่จะส่ง Etios ทั้งสองเวอร์ชั่นในการเข้าห่ำหั่นคู่ต่อสู้สำคัญอย่าง Suzuki Swift และ Dzire และแน่นอนว่าเล็งผลในการสู้รบปรบมือกับคู่แข่งตัวฉกาจที่กำลังจะกำเนิดขึ้นในปีหน้านั่นก็คือ Honda BRIO
Toyota จะเปิดตัว Etios Liva ที่มีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร กำลังสูงสุด 80 แรงม้า และด้วยน้ำหนักตัวเพียง 890 กิโลกรัมทำให้ Liva จะเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันสุดๆและเบาที่สุดอีกรุ่นหนึ่งในตลาด โดย Toyota ให้ความมั่นใจว่าภายในห้องโดยสารมีพื้นที่ๆรองรับผู้โดยสาร 5 คนได้อย่างสบายแม้ว่าจะเป็นรถขนาดเล็กมากก็ตามด้วยการออกแบบให้มีพื้นที่วางขาด้านหลังที่กว้างขวางเป็นพิเศษซึ่งถือว่าเป็นรถที่มีพื้นที่จุภายในกว้างขวางมากที่สุดรุ่นหนึ่งในรถระดับเดียวกัน
Toyota มีแผนที่จะออกรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลสำหรับ Etios และ Etios Liva หลังจากนี้อีกไม่กี่เดือน โดยเครื่องยนต์ดีเซลจะเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการดัดแปลงมาจากเครื่องยนต์ดีเซล VGT 1.4 ลิตรที่เพิ่งใช้กับ Corolla Altis รุ่นใหม่ล่าสุด แต่สำหรับ Etios จะไม่มีการใช้เทคโนโลยี VGT เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทฯสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตสำหรับรถขนาดจิ๋วรุ่นนี้ได้ และการมีเครื่องยนต์ทางเลือกเป็นเครื่องยนต์ดีเซลจะช่วยทำให้ Toyota สามารถทำเป้ายอดขาย Etios ที่ 70,000 คัน/ปีได้ง่ายขึ้นมาก
สำหรับ Toyota Etios เวอร์ชั่นซีดานนั้น ในช่วงแรกจะมีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน ความจุกระบอกสูบ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 90 แรงม้า PS แรงบิดสูงสุด 140 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด น้ำหนักรวมของรถอยู่ที่ 930 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นรถซีดานที่เบาที่สุดรุ่นหนึ่งในประเทศอินเดีย มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 17.6 กิโลเมตร/ลิตร ในขณะที่ถังน้ำมันมีความจุ 45 ลิตร ทำให้ซีดานจิ๋วรุ่นนี้มีระยะทางทำการ 700 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมันเต็มถัง

ที่ประเทศอินเดีย Etios จะมีจำหน่ายใน 4 รุ่นย่อยคือ J, G, V และ VX ใน 6 สีให้เลือก คือ สีเงิน Symphony Silver, สีเบจ Harmony Beige, สีเงิน Serene Bluish Silver, สีแดง Vermilion Red, สำดำ Celestial Black และสีขาว โดยจะใช้ภายในสีดำสำหรับรุ่น J และ G สีดำ-เทาสำหรับรุ่น V และสีดำ-แดงสำหรับรุ่น VX ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุด
สำหรับราคา Toyota Etios เวอร์ชั่นซีดานที่จำหน่ายในประเทศอินเดียมีดังนี้(1 รูปีเท่ากับ 0.75 บาท)

Etios J 496,000 รูปี
Etios G 546,000 รูปี
Etios G + ABS, EBD 596,000 รูปี
Etios V + ABS, EBD 641,000 รูปี
Etios VX + ABS, EBD 686,000 รูปี
กลับมามองการทำตลาดรถรุ่นนี้ในเมืองไทย ตามที่ AutoSpinn ได้เคยรายงานไป 2-3 ครั้งแล้วว่า Toyota กำลังอยู่ในช่วงของการตัดสินใจว่าจะพยายามรักษาภาพลักษณ์และตำแหน่งทางการตลาดที่จะขายรถที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม หรือยอมลงมาเล่นตลาดล่างด้วยการตัดราคา แต่อย่างที่ผู้บริหารระดับสูงของ Toyota ในต่างประเทศเปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า บริษัทฯจะไม่เล่นสงครามราคาอย่างแน่นอนแต่จะเน้นการบริการหลังการขายมากกว่า แต่เมื่อดูราคาของ Etios Sedan แล้วก็ต้องบอกว่าราคาไม่ต่างไปจาก Nissan March ในเมืองไทยเลย ซึ่งเป็นไปได้ว่า Toyota กำลังใช้อินเดียในการทดสอบตลาดว่าการขาย Etios จะส่งผลกระทบในด้านใดบ้าง ซึ่งถ้าผลออกมาเป็นที่พอใจก็น่าจะมีการขยับตัวของ Toyota ในรถเซกเมนต์นี้ในเมืองไทยแน่นอน เพราะพี่ใหญ่คงไม่ปล่อยให้ Honda และ Nissan หรืออีโคคาร์จากค่ายอื่นๆที่เตรียมชักธงรบในเมืองไทยกวาดเงินก้อนใหญ่ไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่ทำอะไรเลย ซึ่งสถานะตอนนี้ของ Toyota คือพร้อมรบในตลาดอีโคคาร์แล้ว เพียงแต่จะกดปุ่มเปิดงานในเมืองไทยเมื่อไรเท่านั้นเอง เพราะทุกอย่างพร้อมแล้ว!

รายละเอียดทางเทคนิคของ Toyota Etios เวอร์ชั่นซีดานมีดังนี้

ENGINE

Engine Capacity : 1.5 litres (1496 cc)
No of Cylinders : 4
Power : 88.7 bhp @ 5600 rpm
Torque : 132 Nm @ 3000 rpm
Mileage : 17.46 kmpl* as per ARAI
Tank Capacity : 45 litres

DIMENSIONS

Length : 4265 mm
Width : 1695 mm
Height : 1490 mm
Weight : 930 kg
Boot Space : 595 litres
Ground Clearance 170 mm
Wheels : 15 inch
Tyres : 185/60
Turning Radius : 4.9 meters

SUSPENSION

Front Suspension Independent McPherson Strut
Rear Suspension Non independent Torsion Beam
BRAKING
ABS and EBD as options
ENTERTAINMENT
DVD Audio System with AUX & USB
SAFETY
Dual Air bags
Safety Collision Absorbing Body
Side Impact Beams
Crumple Zone

ที่มา: briothai.com ,autospinn

New Toyota Yaris รุ่นปี 2012 โมเดลเชนจ์ต้อนรับปีใหม่ เผยโฉม 22 ธันวาคมนี้

Toyota Motor Corp. ได้ประกาศวันเผยโฉม All-New Yaris/Vitz หรือโมเดลเชนจ์ของปี 2012 ออกมาแล้วคือวันที่ 22 ธันวาคมที่จะถึงนี้ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยในเว็บไซต์ได้แสดงภาพบางส่วนและรายละเอียดออกมาให้ลุ้นกัน แม้ว่า AutoSpinn ได้เคยนำภาพหลุดแบบเต็มๆมาให้ชมไปแล้วก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม Toyota ยังไม่เปิดเผยถึงการเปิดตัวในตลาดอื่นๆรวมถึงประเทศไทย โดยคาดว่า All-New Yaris รุ่นใหม่นี้จะถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกในต้นปีหน้า
ขุมพลังของ New Yaris ที่จะจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นรุ่นนี้เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตรที่มาพร้อมระบบ SMART Stop โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 26.5 ลิตร/100 กิโลเมตร 26.5 กิโลเมตร/ลิตร ในขณะที่อัตราการคายไอพิษอยู่ที่ 88 กรัม/กิโลเมตร ถือว่าเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุดรุ่นหนึ่งของบริษัทฯ เห็นเครื่องยนต์เล็กๆแบบนี้หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นอีโคคาร์จากค่าย Toyota ซึ่งบอกได้เลยว่า Toyota ไม่แต่ต้องชื่อรุ่นให้กระทบตลาดตัวเองแน่นอน แต่จะมีรุ่นเฉพาะออกมาต่อกรกับ Honda BRIO และ Nissan March รวมถึงรถจิ๋วจากค่้ายอื่นๆโดยเฉพาะ ซึ่งเมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมา Toyota ได้ข้อสรุปแล้วว่าจะมีการเปิดตัวอีโคคาร์แฮทช์แบ็คในเดือนเมษายนปีหน้า ส่วนรายละเอียดโปรดติดตามได้จากข่าวต่อๆไปครับ
ที่มา: Toyota,autospinn

New Toyota Prius รถไฮบริดสุดร้อนแรง ในงานMotor Expo 2010

New Toyota Prius รถไฮบริดสุดร้อนแรง ในงานMotor Expo 2010 สร้างกระแสท้ายปีต้อนรับปีใหม่ Toyota Prius เป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่ไม่ควรพลาดในการเข้าชมในงาน Motor Expo 2010 แม้ว่ารูปลักษณ์อาจจะไม่โดดเด่นเหมือนรถยนต์ใหม่มาแรงอย่าง Chevrolet Cruze หรือราคาถูกล่อใจเหมือน Honda BRIO แต่การที่เป็นรถไฮบริดในราคา 1 ล้านต้นๆทำให้ Prius เป็นรถที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาจนติดอันดับรถยอดนิยมในรอบเดือนของ AutoSpinn เลยทีเดียว เราเลยขอนำภาพรถไฮบริดที่ผลิตในไทยรุ่นนี้มาให้ชมเพื่อให้การนำเสนอข่าวงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้สมบูรณ์มากขึ้น
New Toyota Prius รถไฮบริดสุดร้อนแรง ในงานMotor Expo 2010

New Toyota Prius รถไฮบริดสุดร้อนแรง ในงานMotor Expo 2010
ที่มา autospinn

Toyota Prius C&A Custom Concept ไฮบริดแต่งสไตล์ Lamborghini Reventon

Toyota Prius C&A Custom Concept ไฮบริดแต่งสไตล์ Lamborghini Reventon
ด้วยกระแสของ Toyota Prius ในไทยกำลังมาแรง เลยขอนำภาพ Prius C&A Custom Concept ที่เป็นรถแต่งในสไตล์ Lamborghini Reventon ซึ่งได้อวดโฉมในงาน SEMA Show ที่เพิ่งผ่านไปไม่นานมาให้ชม เผื่อเจ้าของในอนาคตอาจจะมีไอเดียใหม่ๆในการแต่งเพราะโดยรูปทรงของรถรุ่นนี้อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะแต่งให้ดูสปอร์ต แต่ถ้าคุณได้เห็นภาพนี้แล้ว บอกได้เลยว่ารถรุ่นนี้ดูดีแบบดุๆได้สบายๆ
Prius C&A Custom Concept คันนี้เป็นฝีมือของทีมแต่งรถจาก Toyota เอง ที่ใช้ชุดแต่งที่เรียกว่า PLUS Performance Package จาก TRD โดยมีการโหลดเตี้ยล้อหน้าลงไปถึง 4 นิ้วในขณะที่ล้อหลังโหลดเตี้ยถึง 6 นิ้ว เป็นส่วนหนึ่งของระบบกันสะเทือนแนวสปอร์ตจาก TEIN มีการแต่งบอดี้ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนล้อเป็นอลูมิเนียมหลอมขนาด 18 นิ้ว หุ้มด้วยยาง Goodyear Eagle Revspec
ภายในมีการตกแต่งห้องโดยสารด้วยอัลคันทาร่าหนังกลับ ซึ่งมีการใช้อัลคันทาร่าในหลายๆจุดตั้งแต่เฮดไลเนอร์ เสา A และ B แผงข้างประตู เบาะที่นั่งด้านหน้าที่เป็นของ Recaro และเบาะด้านหลัง กล่องคอนโซล พวงมาลัย แม้แต่หัวเกียร์อลูมิเนียมก็มีการแต่งด้วยอัลคันทาร่าเช่นกัน มีการทำสัญลักษณ์ C&A ที่เบาะที่นั่ง ระบบนำทางเป็นของ Denso ผลงานที่ออกมาจึงเป็นอย่างที่เห็น “สวยหยด ตั้งแต่หัวจรดเท้า” อีกรุ่นหนึ่ง!
ที่มา: Toyota,autospinn

โตโยต้า พริอุส ′ผู้ที่ไปถึงก่อนใคร′

จากความมุ่งมั่นเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและ การอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งยึดถือเป็นปรัชญาของโตโยต้าในการสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่ ล้ำสมัย ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบและความห่วงใยต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมโลก โดยการมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อผลิตรถยนต์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งไม่ได้พัฒนาเพียงแค่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ แต่รวมถึงกระบวนการผลิตโดยการนำวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ มาเป็นวัตถุดิบเพื่อลดปริมาณของเสียและประหยัดพลังงาน ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีของโลกและมนุษยชาติ รถยนต์ โตโยต้าไฮบริดรุ่นแรก คือ โตโยต้า พริอุส เจเนอเรชั่น 1 ได้กำเนิดขึ้นครั้งแรกในโลกเมื่อปี พ.ศ. 2540 โดยคำว่า ′พริอุส′ นั้นเป็นคำมาจากภาษาละตินแปลว่า ′ผู้ที่ไปถึงก่อนใคร′
ในปี พ.ศ. 2552 ′โตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด′ รถยนต์ไฮบริด รุ่นแรกได้ผลิตขึ้นในประเทศไทย และเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชีย โดยเป็นรถยนต์นั่งไฮบริดขนาดกลาง ยนตรกรรมอัจฉริยะที่เพียบพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล้ำสมัย สมรรถนะดีเยี่ยม ตอบสนองการขับขี่ได้เร้าใจ และที่สำคัญเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด ทั้งเป็นรถยนต์ที่ให้ความเงียบและให้ความรู้สึกสบายรื่นรมย์ตลอดการขับขี่

และในปีนี้โตโยต้าได้ผลิตรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทยอีก 1 รุ่น คือ โตโยต้า พริอุส เจเนอเรชั่น 3 ซึ่งนับเป็นประเทศที่ 3 ของโลกสำหรับการผลิตโตโยต้า พริอุส ยานยนต์ไฮบริดที่สมบูรณ์แบบด้วยรูปลักษณ์ภายนอกและภายในที่ล้ำสมัย อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า สร้างความสนุกสนานตลอดการขับขี่ในทุกเส้นทาง มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการลดมลพิษจากการปล่อยไอเสีย และการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ไร้ซึ่งมลพิษทางเสียง
พริอุสมี 2 รุ่นให้ครอบครอง Top Grade และ Standard Grade มี 5 สีให้เลือก White Pearl (เฉพาะรุ่น Top Grade), Light Blue Mica Metallic, Silver Metallic, Black Mica และ Blackish Red Mica

โตโยต้า พริอุส ภายนอกโดดเด่นเกินใครในทุกมุมมอง รูปทรงแอโรไดนามิก จากสุดยอดของการออกแบบที่ล้ำสมัยตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้โตโยต้า พริอุสมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือค่า Cd (coefficient of drag) เพียง 0.25 ซึ่งมีส่วนช่วยให้มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยว ให้ลำแสงที่สว่าง ชัดเจน ใช้งานได้ยาวนานและประหยัดพลังงาน ระบบทำความสะอาดไฟหน้าชัดเจนทุกการเดินทางด้วยหัวฉีดน้ำทำความสะอาดไฟหน้า แบบพับซ่อนเก็บได้

ไฟท้าย LED สไตล์สปอร์ต สว่าง ชัดเจน เพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว น้ำหนักเบา ลดแรงเสียดทาน พร้อมการออกแบบที่คำนึงถึงการหมุนวนของอากาศบริเวณซุ้มล้อ ซึ่งมีส่วนช่วยให้มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง

ภายในล้ำหน้าเหนือชั้นในทุกสัมผัสเทคโนโลยี head-up display ปลอดภัยและล้ำสมัยด้วยการแสดงผลมาตรวัดความเร็วรถ และระดับการขับขี่แบบ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบนกระจกบังลมด้านหน้าในระดับ ที่ผู้ขับสามารถมองเห็นได้โดยไม่ บดบังทัศนวิสัยและไม่ต้องละสายตาจากถนน จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบออปติคอล (advanced multi-information display หรือ MID) แสดงค่าทุกการทำงานขณะขับขี่ โดยแบ่งการแสดงผลออกเป็น 3 โหมด
1.โหมดการทำงานของระบบไฮบริด (energy monitor)

2.โหมดแสดงผลการขับขี่แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (hybrid system indicator)

3.โหมดแสดงผลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง (consumption record) ปุ่มควบคุมที่พวงมาลัยระบบสัมผัสที่สามารถแสดงภาพกราฟิกปุ่มควบคุมบริเวณพวง มาลัยบนจอ MID ได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับสามารถมองเห็นและควบคุมระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ ไร้สายแบบบลูทูทได้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้นในขณะขับขี่ ระบบเครื่องเสียง 6 CD พร้อมลำโพง 8 จุดที่ให้ความเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง รองรับไฟล์ MP3/WMA พร้อมช่องต่อ AUX

ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่ ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (smart entry) และระบบสตาร์ตอัจฉริยะ (push start) ให้ความสะดวกสบายโดยไม่ต้องใช้กุญแจในการเปิดประตูและ การสตาร์ตรถ

เบาะนั่งแบบพิเศษที่ปฏิวัติแนวคิดการออกแบบเพื่อความสบายสำหรับผู้โดยสาร ด้านหลังโดยการเพิ่มพื้นที่ระหว่างเบาะหน้าและเบาะหลัง พื้นที่เก็บของด้านหลัง กว้างขวางเพียงพอสำหรับถุงกอล์ฟ 3 ใบ

ระบบส่งกำลัง นำหน้าทุกเส้นทางอย่างท้าทาย ก้าวไปพร้อมพลังขับเคลื่อนแห่งอนาคต เครื่องยนต์ที่ผสานความล้ำหน้าแห่งเทคโนโลยี Atkinson Cycle และระบบควบคุมการหมุนเวียนไอเสีย EGR (Exhaust Gas Recirculation) ที่มีการติดตั้งระบบระบายความร้อนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมมลพิษจาก ไอเสีย พร้อมระบบวาล์วอัจฉริยะ VVT-i เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่ประหยัดคุ้มค่า

พริอุสใช้เครื่องยนต์ 2ZR-FXE/4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-i ความจุกระบอกสูบ 1,797 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที มอเตอร์ไฟฟ้า (electric motor) ที่พัฒนาระบบเกียร์ทดกำลังให้มีขนาดเล็กลงและน้ำหนักเบายิ่งขึ้น แต่สามารถรองรับการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงขึ้นชนิดมอเตอร์ซิงโค รนัสแม่เหล็กถาวร

แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 650 โวลต์ กำลังสูงสุด 60 กิโลวัตต์ (82 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร

เกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ (electronic gear shift) เทคโนโลยีแห่งการขับเคลื่อนที่รองรับทุกการสั่งงาน พร้อมระบบคันเกียร์ที่กลับคืนสู่ตำแหน่งกลางโดยอัตโนมัติทุกครั้งหลังการ เข้าเกียร์ เพิ่มความสะดวกในการเปลี่ยนเกียร์

เกียร์ทดกำลัง (reduction gear) เพื่อเพิ่มแรงบิดให้มอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมให้ความนุ่มนวลในจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ อุปกรณ์แยกกำลัง (power split device) ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า อย่างลงตัว เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (generator) ตอบสนองการเร่งโดยการเสริมพลังไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน

หน่วยควบคุมไฟฟ้า (power control unit) ทำหน้าที่ควบคุมไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรี่และไฟฟ้ากระแสสลับจากมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม พร้อมช่วยขยายกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ได้สูงถึง 650 โวลต์

แบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (nickel-metal hydride) ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าทำให้แบตเตอรี่ไฮบริดมีน้ำหนักเบาขึ้น ทนทานยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างดีเยี่ยม

รูปแบบการขับขี่ล้ำหน้าแห่งการขับขี่ที่ให้คุณสามารถเลือกได้ถึง 3 รูปแบบ

โหมดการขับขี่ทรงพลัง (PWR mode) ระบบจะผสานกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ เพื่อตอบสนองการขับขี่อย่างทันใจ โหมดการขับขี่ประหยัดน้ำมัน (ECO mode) ระบบจะเลือกใช้กำลังในการขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้เหมาะ สม โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า โหมดการขับขี่เงียบสนิท (EV mode) ระบบจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ให้การขับขี่ที่เงียบสนิท เหมาะสำหรับการเดินทางในบริเวณที่ใช้ความเร็วต่ำ

ความปลอดภัย ทุกการเดินทางคือความอุ่นใจด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ความปลอดภัยแบบป้องกัน (active safety)

สัญญาณไฟเบรกกะพริบเมื่อเบรกกะทันหัน (emergency stop lamps) เพิ่มความปลอดภัยเมื่อเกิดการเบรกกะทันหันด้วยสัญญาณไฟเบรกอัตโนมัติแจ้ง เตือนรถที่อยู่ด้านหลังทันที

ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC-vehicle stability control) ที่ทำงานร่วมกับ EPS (electronic power steering) รักษาการทรงตัวของรถในทุกสภาพการขับขี่โดยการสั่งให้เครื่องยนต์ลดความเร็ว อัตโนมัติ และควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกทั้ง 4 ล้อ อย่างอิสระเพื่อรักษาการทรงตัวของรถให้สมดุลที่สุด

ระบบกระจายแรงเบรก EBD (electronic brake-force distribution) ในทุก ๆ การเบรกระบบจะปรับแรงดันน้ำมันเบรกทั้ง 4 ล้อให้เหมาะสมกับน้ำหนักที่กดลงในแต่ละล้อเพื่อประสิทธิภาพการเบรกที่ดีขึ้น

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC-traction control system) คอยควบคุมและป้องกันการลื่นไถลของล้อเมื่อมีการเหยียบ คันเร่งมากเกินไปขณะออกตัว หรือการเร่งความเร็วแบบกะทันหันบนถนนลื่น

ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS-anti-lock braking system) สำหรับการเบรกแบบกะทันหันบนถนนที่เปียก ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับควบคุมทิศทางของรถได้ดีขึ้น

ความปลอดภัย แบบปกป้อง (passive safety)

ถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 จุดรอบคัน เสริมความปลอดภัยโดยติดตั้งไว้รอบคัน (ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง/ด้านข้าง 2 ตำแหน่ง/ม่าน 2 ตำแหน่ง และเข่าคนขับ 1 ตำแหน่ง) ด้วย

หมอนพิงศีรษะคู่หน้าแบบช่วยลดแรงกระแทก (active headrest) เมื่อเกิดการชนจากด้านหลัง หมอนพิงศีรษะจะปรับองศาอัตโนมัติเพื่อรองรับสรีระบริเวณคอทันที ช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บที่กระดูกคอ

โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA ช่วยดูดซับแรงกระแทก เทคโนโลยีเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริเวณห้องโดยสารจากการชนทั้งด้านหน้าและ ด้านข้าง เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับและกระจายแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างมี ประสิทธิภาพ

สำหรับราคาค่าตัว รุ่น Top Grade สี White Pearl 1.27 ล้านบาท รุ่น Top Grade 1.26 และรุ่น Standard Grade 1.19 ล้านบาท
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

Toyota RAV4 EV คอมแพคท์เอสยูวีไฟฟ้า โชว์ตัวที่ LA Auto Show ก่อนเริ่มขายในปี 2012

Toyota RAV4 EV คอมแพคท์เอสยูวีไฟฟ้า โชว์ตัวที่ LA Auto Show ก่อนเริ่มขายในปี 2012 ต่อเนื่องจากเมื่อวันก่อนที่ Toyota ได้ปล่อยภาพทีเซอร์ของ RAV4 EV ออกมาเรียกน้ำย่อยก่อนเปิดตัวในงาน LA Auto Show ที่ล่าสุดวันนี้ก็ได้ปล่อยภาพเต็มทั้งชุดพร้อมคลิปวิดีโอออกมาให้คนรัก Compact SUV ได้ชมทางเลือกใหม่ซึ่งแฟนๆเมืองไทยก็อาจจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสเพราะแม้แต่ RAV4 รุ่นมาตรฐานก็ไม่ได้อยู่ในตลาดแต่อย่างใด ทั้งๆที่รถรุ่นนี้คือคู่ต่อกรโดยตรงของ Honda CR-V แต่การที่รถรุ่นนี้เป้นรถไฟฟ้า Toyota ก็อาจจะคิดใหม่ทำใหม่ได้เช่นกัน
Toyota RAV4 EV เป็นความร่วมมือระหว่าง Toyota และ Tesla บริษัทผู้ผลิตซุปเปอร์คาร์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันที่มีหุ้นส่วนสำคัญคือ Google โดยขณะนี้ Toyota อยู่ในช่วงของการทดสอบรถต้นแบบของ RAV4 จำนวน 35 คัน ที่ในปีหน้าทั้งปีรถไฟฟ้ารุ่นนี้จะถูกทดสอบพร้อมปรับปรุงให้เรียบร้อยก่อนจะถูกผลิตออกมาจำหน่ายในปี 2012 ในเรื่องของการสร้างรถต้นแบบ Toyota รับผิดชอบในส่วนของการอัพเกรดระบบขับเคลื่อน ในขณะที่ทาง Tesla รับผิดชอบในเรื่องชุดแบตเตอรี่และระบบที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง Toyota ก็กำลังทดสอบการใช้แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมเมทัลออกไซด์ที่ให้กำลังประมาณ 30-35 กิโลวัตต์ชั่วโมง
Toyota เผยว่า RAV4 EV จะมีน้ำหนักมากกว่า RAV4 รุ่นเครื่องยนต์ V6 อยู่ถึง 220 ปอนด์ แต่ไม่มีผลกับอัตราเร่งของรถแต่อย่างใด น้ำหนักที่มากขึ้นนี้ทำให้จะต้องมีการปรับปรุงดัดแปลงระบบกันสะเทือน อุปกรณ์ต่างๆในการควบคุมรถเพื่อให้แน่ใจว่า RAV4 EV จะมีสมดุลย์ของตัวรถที่เหมาะสมและควบคุมได้ง่าย
ที่มา: Toyota ,autospinn

รายการบล็อกของฉัน